จำนวนผู้ชม

วันจันทร์ที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2553

การทำอาหารที่ควรรู้


แก้มดขึ้นตู้กับข้าว
เอาน้ำมันก๊าดหยอดลงไปในน้ำที่หล่อขาตู้ นอกจากจะกันยุงแล้วยังกันมดได้ด้วย

ดอกแควิธีทำให้ไม่ขม
ให้ตัดหรือเด็ดยอดเกสรจากดอกแค ซึ่งอยู่ข้างในของดอกที่มีสีเหลืองออกเสียก่อน จากนั้นนำไปรับประทานจะไม่รู้สึกขมเลย

ลวกหอยแครงให้แกะง่าย
ท่านที่ชอบรับประทานหอยแครง แต่ไม่ชอบแกะหอย เพราะเป็นการลำบากมาก เวลาต้มน้ำที่จะลวกหอยแครงลองใส่น้ำส้มสายชูลงไปพอประมาณ จะทำให้การแกะง่ายขึ้นมากอีกโขเลยทีเดียว

ต้มมันเทศให้อร่อย ยางไม่ติดภาชนะ
เมื่อท่านต้มมันเทศจะมียางติดภาชนะจนล้างไม่ออก ให้นำน้ำมันหมู หรือน้ำมันพืชใส่ลงในน้ำที่ต้มสัก 2-3 หยด ใส่เกลือตั้งไฟเมื่อใกล้สุกให้ใส่นมข้นหวานสัก 1 ช้อนโต๊ะ จะได้มันเทศมีรสหอมหวานอร่อยและยางไม่ติดภาชนะ

มะระไม่ขม
มะระปกติขม แต่มีวิธีทำให้ไม่ขมได้ เชื่อไหม ถ้าเชื่อก็โปรดฟังรายการมะระยัดไส้ นำมะระอ่อนๆ มาคว้านเอาเมล็ดออกแล้วคลุกด้วยน้ำปลา ผงชูรส พริกไทยป่น ให้มีรสอร่อยๆ ตามใจท่านแล้วก็ยัดใส่ในมะระ เสร็จแล้วก็ต้มน้ำให้เดือดใส่มะระลงไป ข้อสำคัญอย่าเปิดฝาหม้อเป็นอันขาด เมื่อแน่ใจว่าสุกก็ยกลงรับประทานรับรองว่าไม่ขม

เก็บถั่วงอกสดในตู้เย็นให้ได้หลายวัน
นำถั่วงอกที่เด็ดรากเรียบร้อย (หรือไม่เด็ดก็ได้แล้วแต่สะดวก) ใส่ภาชนะเทน้ำให้ท่วมถั่วงอก เสร็จแล้วนำไปแช่เย็นไม่ต้องเทน้ำทิ้ง วิธีนี้จะทำให้สามารถเก็บได้หลายๆ วัน โดยถั่วงอกไม่ดำและไม่เน่าเลย

เก็บข้าวสารหรือข้าวเหนียวได้นาน
ใช้ใบมะกรูดวางบนข้าวหรือใส่แทรกตามข้าวจะไม่มีมอด แมลง หรือหนอนรบกวนเลย ถ้าเก็บนานควรเปลี่ยนใบมะกรูดบ่อยๆ

กุ้งแช่เบียร์
วิธีทำอาหารจำพวกกุ้ง ให้มีรสชาติแปลกอร่อยขึ้น ลองเอากุ้งที่แกะเปลือกผ่าเอาขี้บนเส้นออกแช่ในเบียร์ที่เหลือทิ้งไว้ 15-20 นาที ก่อนที่จะนำไปประกอบอาหารอื่น

วิธีเลือกเผือก
การซื้อเผือก ถ้าท่านไม่เลือกหรือเลือกไม่ดี เผือกที่ท่านซื้อมานั้นอาจจะเสีย หรืออาจจะแก่เกินไปก็ใช้รับประทานไม่ได้ การเลือกเผือกนั้นท่านต้องเลือกหัวที่เบาๆ แล้วท่านจะได้เผือกที่ดีและไม่แก่เกินไป

ทอดกล้วยแขกให้อร่อย
กล้วยแขกหรือกล้วยทอด ถ้าต้องการให้นิ่มน่ารับประทานยิ่งขึ้นและไม่เสียรส คุณควรเติมไข่ขาวสัก 4-5 ใบ ต่อแป้ง 1.5 ลิตร ผสมชุบกล้วยทอด

เชื่อมกล้วยไข่ไม่ให้ดำ
เวลาเราเชื่อมกล้วยจะมีสีดำติดด้วย ถ้าจะให้กล้วยที่เชื่อมเป็นสีสวย เวลาเชื่อมให้ใส่มะนาวลงไปสัก 2 ชิ้น กล้วยจะมีสีสวยเพราะมะนาวจะกัดยางกล้วยออก

ทำกล้วยบวชไม่ให้เละ
หลายท่านคงทำกล้วยบวชเละมาหลายครั้งแล้ว วิธีทำไม่ให้มันเละง่ายนิดเดียว เอากล้วยที่จะบวชต้มเสียก่อนพอน้ำเดือดยกขึ้นบวช รับรองกล้วยบวชจะไม่เละอีกต่อไป

ต้มดอกขี้เหล็ก
การที่ต้มดอกขี้เหล็กไม่ให้ขมมาก เขาบอกว่าให้เอาสตางค์แดงล้างให้สะอาดต้มกับดอกขี้เหล็ก แล้วจะลดความขมลงมาก

วิธีคั้นมะนาวไม่ให้ขม
น้ำมะนาวขมเพราะน้ำมันที่ผิวของมะนาว วิธีทำไม่ให้ขม ควรนำมะนาวทั้งผลลวกน้ำร้อนเสียก่อน เพื่อชะล้างน้ำมันที่ผิวของมะนาว แล้วจึงผ่าซีกคั้นใส่ลงในน้ำตาลทรายละลายน้ำร้อนหรือน้ำเชื่อมผสมน้ำ เหยาะเกลือป่นลงไปเล็กน้อย ใส่น้ำแข็งดื่มจะได้รสชาติชื่นใจ และประหยัดสตางค์อีกด้วย

สูตรลวกผัก
เมื่อท่านต้องการอยากจะลวกผักให้มีสีเขียวจัดและน่ารับประทาน ต้องยึดหลัก 4 ประการคือ "น้ำน้อย ไฟแรง ปิดฝา เวลาสั้น" ผักที่ลวกโดยวิธีนี้จะมีสีเขียวสดและน่ารับประทาน

ทอดปลาให้หอมเหลือง
หั่นข่าชิ้นบางๆ ประมาณ 4-5 ชิ้น ใส่ในน้ำมันจนไหม้เกรียมเป็นสีเหลืองแล้วจึงทอดปลา ปลาจะมีกลิ่นหอมและมีสีเหลืองน่ารับประทาน ทดลองดูซิ

วิธีทอดปลาไม่ให้ติดกระทะ
มีวิธีดังนี้ คือ ตั้งกระทะใส่น้ำมันพอร้อนเอาขิงฝานเป็นชิ้นบางๆ (ขิงสด) ลงกระทะประมาณ 4-5 ชิ้น เมื่อขิงเกรียมก็ตักออกทิ้งแล้วนำปลาลงทอด ปลาจะไม่ติดกระทะเลย

ย่างปลาทูเค็มไม่ให้เละ
ปลาทูเค็ม เมื่อเราซื้อมาจากตลาด เราก็แช่น้ำไว้ครู่หนึ่ง แล้วล้างออกให้สะอาดใช้ใบตองกล้วยมาห่อปลาทูเค็ม แล้วนำไปย่างพอใบตองไหม้หน่อยก็เอาออก จะทำให้ปลาทูเค็มของท่านไม่เละ

ไฟไหม้ในกระทะอย่าตกใจ
แม่บ้านเมื่อขณะปรุงอาหารประเภทผัดหรือทอดเกิดไฟลุกติดน้ำมันในกระทะ ไม่ต้องตกใจ ให้เอาฝาหม้อ หรือฝาลังถึงหรือฝาปิดกระทะครอบไว้ เท่านี้ก็เรียบร้อย ข้อควรระวัง อย่าราดน้ำหรือเป่าไฟเป็นอันขาด นอกจากไฟไม่ดับจะยิ่งลุกลามขึ้น

กระทะเหม็นคาว
ถ้ากระทะมีกลิ่นเหม็นคาวล้างไม่ออก ให้นำเอากากชามาต้มในกระทะสักครู่ กลิ่นเหม็นคาวจะหายไป

ก่อนใช้กระทะใหม่
กระทะที่ซื้อมาใหม่ไม่ว่าจะราคาแพงเท่าใดมักจะประสบกับปัญญาอาหารติดกระทะ ก่อนที่คุณแม่บ้านจะนำกระทะใบใหม่ออกมาใช้ทำกับข้าว ไม่ว่าจะเป็นกับข้าวชนิดใด ขอให้หุงข้าวชนิดเช็ดน้ำสัก 1 หม้อ แล้วนำเอาน้ำข้าวที่ได้เทลงในกระทะใบใหม่สักประมาณท่วมฝ่ามือ นำขึ้นตั้งไฟขนาดกลางๆ เคี่ยวไปเรื่อยๆ จนกว่าน้ำข้าวจะแห้งสนิทเหลือเป็นเพียงเกล็ดๆ คล้ายเกล็ดน้ำแข็งอยู่ติดก้นกระทะ นำลงแล้วทิ้งเอาไว้ให้เย็น แล้วนำกระทะไปล้างออกด้วยน้ำเย็นอีกครั้งให้สะอาด คราวนี้นำไปประกอบอาหารต่อไป กับข้าวจะไม่ติดกระทะอีกเลย

วิธีหุงข้าวให้กลิ่นสะอาด
ถ้าพบกับปัญหาหุงข้าวแล้วมีกลิ่นเหม็นต่างๆ เช่นเหม็นสาบ มีวิธีแก้ง่ายๆ ดังนี้ เวลาหุงข้าวให้ใส่น้ำมากๆ (หุงเช็ดน้ำ) พอข้าวเดือดก็พยายามใช้ทัพพีคน และตักฟองของน้ำข้าวที่กำลังเดือดออก ทำบ่อยๆ จนกว่าจะถึงเวลาเช็ดน้ำทิ้ง แล้วดงไฟตามปกติ ก็จะได้ข้าวที่กลิ่นไม่เหม็น ถ้าวิธีนี้ยังไม่หายก็ต้องใช้ถ่านหุงข้าวใส่อีกขั้นหนึ่ง ตอนดงไฟ (อย่าลืมล้างถ่านหุงข้าวให้สะอาดเสียก่อน) รับรองว่าจะได้ข้าวสวยที่มีกลิ่นสะอาดน่ารับประทานจริงๆ เพราะฟองของน้ำข้าวที่เดือดนั้นจะเป็นที่รวมของสิ่งสกปรกหรือสิ่งไม่ดีทั้งหลายที่มาปนอยู่ในข้าว ถ้าเราตักออกจะทำให้ข้าวสุกที่ได้ขาวดีอีกด้วย แต่อย่าลืมนำข้าวไปซาวน้ำหลายๆ ครั้งก่อน

หุงข้าวเหนียวไม่ให้แฉะ
เกิดการหิวข้าวเหนียวขึ้นมาแต่ไม่มีหวดนึ่ง มีวิธีการหุงข้าวเหนียวไม่ให้แฉะ คือต้มน้ำให้เดือด เอาข้าวสารข้าวเหนียวที่เตรียมไว้เทลงไป ปล่อยให้เดือดสัก 3 นาที แล้วรินน้ำทิ้งเปิดฝาเอาใบตองกล้วยปิดลงไปที่ปากหม้อ 2-3 ชั้น เอาฝาปิดดงไฟอ่อนๆ ไม่นานเปิดฝาออก จะเห็นข้าวเหนียวในหม้อไม่ต่างกับเอาใส่หวดนึ่งเลย

วิธีการล้างหอยแครง
ใช้น้ำธรรมดากะดูให้พอดี แล้วใส่เกลือลงไปในน้ำที่เตรียมไว้ แล้วใส่หอยแครงลงไปในน้ำที่ใส่เกลือขยำให้หอยแครงคายโคลนตม หรือแช่ทิ้งไว้สักครู่ หอยแครงจะคายโคลนตมออกมา และในตัวหอยแครงก็สะอาดน่ารับประทานมาก และก็ไม่มีเชื้อโรคด้วย

แก้มะละกอเหี่ยว
มะละกอดิบเหี่ยวเพราะซื้อมาทิ้งไว้หลายวัน ไม่ต้องทิ้ง มีวิธีทำให้สดดังนี้ นำปูนสำหรับเคี้ยวหมากมา 1 ช้อน ละลายกับน้ำธรรมดา ใช้น้ำพอประมาณ แล้วเอามะละกอที่เหี่ยวลงไปแช่ในน้ำปูน ไม่ต้องคอยให้น้ำปูนใส แช่ไว้ประมาณ 20-30 นาทีหรือจะแช่นานกว่านั้นก็ได้

ข้าวเหม็นไหม้
ผู้ที่หุงข้าวด้วยถ่าน มักประสบปัญหาข้าวเหม็นไหม้ (ที่เรียกกันว่าข้าวไหม้) เพราะไฟแรงเกินไปหรือขัดหม้อไม่สะอาด วิธีแก้ไขนอกจากใส่ไฟให้พอเหมาะและขัดหม้อให้สะอาดแล้ว เมื่อข้าวเหม็นไหม้ ก็ใช้ถ่านที่กำลังลุกแดงก้อนเล็กๆ 1-2 ก้อน ใส่ในข้าวแล้วปิดฝาหม้อไว้สัก 5 นาทีก็จะหายกลิ่นเหม็นไหม้แล้วตักถ่านและข้าวบางส่วนที่เลอะขี้เถ้าทิ้ง

วันจันทร์ที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2553

การผสมพันธุ์กบ


1. การผสมพันธุ์ในฤดูผสมพันธ์

ส่วนมากในคืนแรกหรือคืนที่ 2 หลัจงจากฝนตก กบจะทำการผสมพันธุ์ วางไข่แต่ อาจยึดเยื้อไปได้อีก โดยจะผสมพันธุ์วางไข่หลังจากฝนตกประมาณ 5-7 วัน เมื่อเลือกกบ ที่มีลักษณะดีแล้วให้นำมาปล่อยในบ่อผสมพันธุ์ในอัตราตัวผู้ 2 ตัวต่อตัวเมีย 10 ตัว (ตัวผู้กับตัวเมียมีขนาดเท่ากัน) ระดับน้ำในบ่อลึกประมาณ 10-15 เซนติเมตร ภายในบ่อ ใส่พวกสาหร่ายลงไปด้วยพอประมาณ รักษาระตับน้ำให้คงที่ตลอดเวลา ในช่วงนี้งดให้ อาหารประมาณ 2-3 วัน ถ้ายังไม่มีฝนตกให้เปลี่ยนน้ำใหม่และอาจพ่นน้ำในบ่อผสมพันธุ์ ไห้เหมือนกับฝนตก หลังจากนันกบก็จะผสมพันธุ์และวางไข่ในเวลาเช้ามืด

ภายในบ่อผสมพันธุ์จะใส่พันธุ์ไม้น้ำด้วย

2. การผสมพันธุ์นอกฤดู

ได้มีผู้คิดค้นและทดลองปฎิบัติกันหลายวิธี เช่น เมื่อเข้าสู่ฤดูแล้งจะเติมน้ำจนเต็ม บ่อเลี้ยงกบ และฉีดน้ำให้กบชุ่มชื้นอย่างน้อย 2 วันต่อครั้ง แล้วถ่ายน้ำออกปล่อยให้บ่อแห้ง ประมาณ 2-3 วัน เมื่อบ่อแห้งดีแล้วจีงทำการคลุมหลังคาให้ร่มครึ้มอย่างเดิมอีกครั้ง หลังจาก นั้นฉีดน้ำให้บ่อกบชุ่มชื้น 6-7 วันติดต่อกัน แล้วฉีดน้ำต่ออีก 15 นาที สังเกตว่าในตอน กลางคืนกบจะร้อง พอเช้าให้ฉีดน้ำในตอนเที่ยงและบ่ายครั้งละครี่งธั่วโมง หลังจากนั้นใน เวลาประมาณ 4 นาฬิกาถึง 5 นาฬิกาของวันรุ่งขึ้น กบก็จะจับคู่ผสมพันธุ์และวางไข่ จากนั้นก็จะแยกกันไปหลบในที่อาศัย ผู้เลี้ยงก็จะสามารถจับพ่อและแม่พันธุ์คืนสู่บ่อเลี้ยงเดิมได้


กรณีดังกล่าวนีค่อนข้างยุ่งยาก ทางที่ดีควรแยกเลี้ยงพ่อและะแม่พันธุ์กบ เมื่อ ต้องการจะเพาะก็คัดพ่อพันธุ์กบที่มีน้ำเชื้อดีและแม่พันธุ์ที่มีไข่แก่ลงบ่อเพาะที่เตรียมไว้ดัง ได้กล่าวแล้วข้างต้น กบจะผสมพันธุ์วางไข่ในคืนแรกหรือคืนที่ 2 ถ้ากบไม่วางไข่จะต้อง เปลี่ยนน้ำใหม่อีกครั้ง กบอาจผสมพันธุ์วางไข่ได้ แต่ถ้ากบยังไม่วางไข่ก็ต้อูปลี่ยนพ่อและ แม่พันธุ์ไหม่

การเลี้ยงปลาดุก ในบ่อซีเมนต์


เป็นวิธีการเลี้ยงปลาอีกวิธีหนึ่งที่สามารถเลี้ยงกันได้ง่าย และสำหรับสถานที่ก็ใช้พื้นที่ไม่เยอะ และสามารถเคลื่อนย้ายท่อปูนซีเมนต์ได้ง่ายด้วย ค่าลงทุนในการการเลี้ยงก็ไม่มากสามารถนำไปประกอบเป็นอาชีพเสริมได้ ส่วนผลตอบแทนก็เป็นที่น่าภูมิใจ จากการลงพื้นที่ของเจ้าหน้าที่ร่วมด้วย ช่วยกันสำนึกรักบ้านเกิด จ.สงขลา ได้พบกับคุณชาลี สุวรรณชาตรี อยู่บ้านเลข ที่ 319 ม.18 ต.ท่าช้าง อ.บางกล่ำ จ.สงขลา เกษตรกรผู้ที่เลี้ยงปลาดุกในท่อ ปูนซีเมนต์ ได้บอกถึงวิธีการเลี้ยงปลาดุกด้วยระบบชีวภาพซึ่งมีขั้นตอนการ เลี้ยงดังนี้




การเลี้ยงปลาดุก ในบ่อซีเมนต์ การเตรียมอุปกรณ์
1.ท่อปูนซีเมนต์ขนาด 100*50 เซนติเมตร
2.ท่อพีวีซี ขนาด 1 นิ้ว ยาว 20 เซนติเมตร จำนวน 1 เส้น และยาว 40 เซนติเมตร จำนวน 1 เส้น
3.ข้องอพีวีซีขนาด 1 นิ้ว จำนวน 1 อัน
4.ยางนอกรถสิบล้อจำนวน 1 เส้น
5.ยางนอกรถจักรยานยนต์จำนวน 1 เส้น
6.ตาข่าย
7.น้ำหมักสูตรเลี้ยงปลา
8.ปูน ทราย หิน
9.อาหารสำหรับเลี้ยงปลาดุก
10.พืชผักที่ปลากิน เช่น ผักบุ้ง ผักตบชวา ฯลฯ
11.ลูกปลาดุก 70-80 ตัว

การเลี้ยงปลาดุก ในบ่อซีเมนต์ การเตรียมบ่อปูนซีเมนต์สำหรับเลี้ยงปลาดุก
1.จะต้องทำการฆ่ากรดฆ่าด่างในบ่อปูน โดยให้นำหัวกล้วยหรือโคนกล้วยมาสับให้เป็นชิ้นเล็กๆ นำมูลวัวมาผสมคลุกเคล้าให้เข้ากัน แล้วนำใส่ไปในบ่อใส่น้ำให้เต็ม แล้วหมักไว้ 5 วัน จากนั้นให้เปิดน้ำทิ้งแล้วเอาโคนกล้วยออกทิ้งด้วย


2.นำน้ำสะอาดใส่ไปในบ่อแล้วแช่ทิ้งไว้ 1 วัน หลังจากนั้นก็ให้เปิดน้ำทิ้ง


3.นำผักบุ้งมาถูให้ทั่วบ่อ ทิ้งไว้ตากบ่อให้แห้ง





การเลี้ยงปลาดุก ในบ่อซีเมนต์ การทำน้ำหมักสูตรเลี้ยงปลา
1.ถังพลาสติกที่มีฝาปิดจำนวน 1 ถัง
2.น้ำตาลทรายแดง 3 กิโลกรัม
3.ฟักทองแก่ 3 กิโลกรัม
4.มะละกอสุก 3 กิโลกรัม
5.กล้วยน้ำหว้าสุก 3 กิโลกรัม

วิธีทำน้ำหมักสูตรเลี้ยงปลา
หั่นมะละกอ, กล้วยน้ำหว้า, ฟักทองทั้งเปลือกและเมล็ดใส่ไว้ในภาชนะที่มีฝาปิด ผสมน้ำตาลทรายแดง แล้วคนให้เข้ากันและปิดฝาให้แน่นหมักทิ้งไว้ 7 วัน แล้วเติมน้ำสะอาด 9 ลิตร ปิดฝาให้แน่นแล้วหมักต่ออีก 15 วัน

ประโยชน์
-เป็นฮอร์โมนพืช เร่งดอก เร่งผล รสชาติหวานอร่อย
-ปลาไม่เป็นโรค
-ปลาไม่มีกลิ่นสาบ
-ปลาไม่มีมันในท้อง
-ปลาจะมีเนื้อหวานรสชาติอร่อย

การเลี้ยงปลาดุก ในบ่อซีเมนต์ การเลี้ยง
1.นำท่อปูนที่มีรอยคราบผักบุ้ง หรือบ่อปูนที่ไม่มีกรดไม่มีด่าง ใส่น้ำให้มีความสูง 10 เซนติเมตร (ช่วงปลาขนาดเล็ก เพิ่งนำมาปล่อย) แล้วเติมน้ำหมัก 1 ช้อนโต๊ะ
2.นำปลาดุกมาแช่น้ำในบ่อปูนทั้งถุง แล้วค่อยๆเปิดปากถุงให้ปลาว่ายออกมาเอง


3.วันแรกที่นำปลามาปล่อยไม่ต้องให้กินอาหาร
4.นำพืชผักที่ปลากิน เช่นผักบุ้ง ผักตบชวาและอื่นๆมาใส่ในบ่อ
5.การให้อาหาร ปลา 1 ตัวให้อาหาร 5 เม็ด/เมื้อ ในช่วงปลาเล็กให้อาหารวันละ 2 เมื้อ เช้า-เย็น ปลาอายุ 1 เดือนครึ่งให้อาหารปลาขนาดกลาง โดยให้อาหารวันละ 1 ครั้ง ให้ปลากินตอนเย็น

หมายเหตุ ก่อนให้อาหารต้องนำอาหารมาแช่น้ำก่อนเสมอประมาณ 10-15 นาที
เหตุผลเพื่อ
1.ปลาจะได้กินอาหารทุกตัว
2.ปลาตัวที่แข็งแรงจะทำให้ท้องไม่อืด
3.ปลาไม่ป่วย
4.การเจริญเติบโตใกล้เคียงกัน
5.อาหารไม่เหลือในบ่อและน้ำก็ไม่เสีย
6.ถ่ายน้ำทุกๆ 7 วัน หรือ 10 วัน/ครั้ง ทุกครั้งที่ถ่ายน้ำจะต้องใส่น้ำหมัก 1 ช้อนโต๊ะเสมอ

การเลี้ยงปลาดุก ในบ่อซีเมนต์ การจำหน่าย
1.ก่อนจะจำหน่าย 2 วัน ให้นำดินลูกรังสีแดงหรือซังข้าวมาแช่ไว้ในบ่อ จะทำให้ปลาดุกมีสีเหลืองสวย ขายได้ราคาดี
2.ปลาดุก 3 เดือนครึ่ง จำนวน 70 ตัว จะมีน้ำหนัก 14-15 กิโลกรัม หรือประมาณ 4-5 ตัว/กิโลกรัม จำหน่ายได้กิโลกรัมละ 60-70 บาท
3.ต้นทุนอาหารกิโลกรัมละ 19-20 บาท หมายเหตุ ต้นทุนครั้งแรก 1 ชุด 430 บาท น้ำที่ถ่ายทิ้งจากบ่อปลาสามารถนำมารดต้นไม้ พืชผักสวนครัว เป็นปุ๋ยอย่างดี


หมายเหตุ : ราคาที่จำหน่ายปลาขึ้นอยู่แต่ละพื้นที่ ต้นทุนการผลิตขึ้นกับวัสดุและอุปกรณ์ในแต่ละท้องถิ่น

โรงเรือนกล้วยไม้


การสร้างโรงเรือนมีจุดประสงค์เพื่อปรับสภาพแวดล้อมให้เหมาะกับการเจริญเติบโตและการออกดอกของกล้วยไม้ และเพื่อจัดวาง ต้นกล้วยไม้ให้เป็นระเบียบ สะดวกแก่การทำงาน โดยสร้างหลังคาโรงเรือนเพื่อพรางแสงให้เหลือ 50-70% ตามความต้องการของกล้วยไม้แต่ละชนิด (ตารางที่ 1) โครงสร้างของโรงเรือนควรแข็งแรง มีอายุการใช้งานมากกว่า 3 ปีขึ้นไป
ในปัจจุบันนิยมสร้างโรงเรือน 2 แบบคือ
1. สร้างโรงเรือนหลังใหญ่แล้วสร้างโต๊ะวางกล้วยไม้หรือราวแขวนไว้ภายใน
2. สร้างโต๊ะวางกล้วยไม้ และใช้ไม้ต่อจากโต๊ะขึ้นไปเพื่อทำหลังคา
โครงสร้างของโรงเรือนควรเป็นเสาคอนกรีตหรือแป๊ปน้ำ ฝังลึกในดิน 50 ซม. โรงเรือนสูง 2-3 เมตร ใช้ตาข่ายไนล่อนหรือซาแรนคลุมหลังคา เนื่องจากมีน้ำหนักเบาใช้ได้ง่าย และมีราคาถูกโดยขึงให้ตึงและยึดติดกับลวดให้เรียบร้อย
ตารางที่ 1 ลักษณะโรงเรือนของกล้วยไม้ชนิดต่าง ๆ

สกุล
แวนด้า
หวาย
ออนซีเดียม
แคทลียา
อะแรนด้า

ความสูงของโรงเรือน(เมตร)
%แสง
การวางต้นในเรือน
3.5-4
50-60
แขวน
2.5-3.5
50-60
วางบนโต๊ะ
2.5-3.5
50
วางบนโต๊ะ
3.5-4
50
แขวนหรือ
วางบนโต๊ะ 2.5พื้นที่โรงเรือนควรปูทรายและใช้แผ่นซีเมนต์ปูทางเดินเพื่อไม่ให้น้ำขังและสะดวกต่อการปฏิบัติงาน ส่วนโต๊ะวางกล้วยไม้ ควรมีขนาดกว้าง 1 เมตร ยาว 15-20 เมตร แล้วแต่ขนาดของโรงเรือนและเว้นทางเดินกว้าง 1-1.2 เมตร ราวแขวนซึ่งใช้กับกล้วยไม้ประเภทรากอากาศ เช่น แวนด้าอยู่ในระดับสูงจากพื้นประมาณ 2.5 เมตร แต่ละราวห่างกัน 40-50 ซม. และทุก ๆ 4 ราวควรเว้นทางเดินกว้างประมาณ 1 เมตร
วัสดุปลูกกล้วยไม้ที่มีระบบรากกึ่งอากาศ เช่น หวาย ออนซีเดียม และ Cattleya ต้องใช้เครื่องปลูกที่ระบายน้ำได้ดีและไม่อุ้มน้ำจนแฉะ หาได้ง่าย ราคาถูก และมีอายุใช้งานได้ไม่น้อยกว่า 3 ปี เช่น กาบมะพร้าว หรือ แท่งอัดกาบมะพร้าว โดยนำต้นกล้วยไม้ผูกติดกับไม้ไผ่ปักบนเครื่องปลูก หรืออาจใช้วิธีขึงลวดตามความยาวโต๊ะๆ ละ 4 ราว แล้วผูกต้นติดกับราว เพื่อยึดไม่ให้ต้นล้มและให้รากเกาะติดเครื่องปลูกได้เร็ว ไม่ควรปลูกอัดกันแน่นไปและทำให้ช่อดอก กล้วยไม้ที่ได้มีดอกลดลงด้วย ตลอดจนเป็นแหล่งสะสมโรคแมลง
การย้ายต้นกล้วยไม้ที่ได้จากการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อลงปลูกในภาชนะ

เมื่อกล้วยไม้ในขวดมีรากและใบสมบูรณ์จึงนำออกจากขวดล้างวุ้นออกด้วยน้ำสะอาด แล้วปลูกลงในกระถางขนาดปากกว้าง 3.5-4.5 นิ้ว กระถางละ 25-40 ต้น เรียกว่ากระถางหมู่ โดยใช้ถ่านและออสมันด้าเป็นเครื่องปลูก เนื่องจากขณะลูกกล้วยไม้อยู่ในขวดจะได้รับสภาพที่มีความชื้นสูงมาก เมื่อนำออกจากขวดในระยะแรกจึงต้องปลูกเลี้ยงในสภาพที่มีความชื้นสูงและอับลม เช่น ตู้ที่คลุมด้วยพลาสติกใส รดน้ำให้ชุ่มปิดไว้ 2 วัน หลังจากนั้นจึงปิดฝาเฉพาะกลางวัน เปิดกลางคืนอีก 2 วัน แล้วเปิดฝาออกเลย 3 วัน จึงนำออกจากตู้พลาสติก วางไว้ในเรือนกล้วยไม้จนเจริญเติบโตได้ขนาด คือ ถ้าเป็นกล้วยไม้ประเภทแวนด้า ควรมีใบยาว 5-7 ซม. ส่วนกล้วยไม้ประเภทแตกกอควรมีลำลูกกล้วยสูง 5-7 ซม. จึงย้ายลงสู่ภาชนะที่มีขนาดใหญ่ขึ้น


50-70
วางบนโต๊ะ
หรือลงแปลง

วันศุกร์ที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2553

การแต่งหน้า


การแต่งหน้า
การลงรองพื้น

•เริ่มด้วยการแต้มครีมรองพื้น 5 จุด บริเวณหน้าผาก จมูก แก้ม 2 ข้าง และคาง

•เกลี่ยให้ทั่วใบหน้าจนเนียนเรียบ

•หากต้องการลงรองพื้นแบบเบาบาง ให้ใช้ฟองน้ำเกลี่ย แต่หากต้องการการปกปิดแบบหนาให้ใช้นิ้วมือในการเกลี่ย

•วิธีการจับฟองน้ำ ให้ใช้นิ้วกลางเป็นแกนหลักในการกดฟองน้ำให้สัมผัสกับผิวหน้า ในลักษณะคล้ายกับสปริง กดซับให้ทั่วใบหน้าจนกว่าจะเนียนเรียบ
การลงไฮไลท์

•ใช้ครีมรองพื้นรอบดวงตา ปกปิดริ้วรอยชนิดแท่ง สีอ่อน ลากเส้นไปตามบริเวณที่ต้องการปกปิด หรือจุดที่ต้องการเสริมให้โดดเด่น ได้แก่ ใต้ดวงตา (ปกปิดรอยคล้ำ) สันจมูก โหนกคิ้ว ร่องแก้ม และคาง

•ใช้ปลายนิ้วมือ (นิ้วกลางนิ้วนาง) เกลี่ยครีมเบาๆ จนกระทั่งเนื้อครีมเรียบกลมกลืนไปกับผิว

•นิ้วกลางหรือนิ้วนามจะมีสัมผัสที่เบา และมีคุณสมบัติในเรื่องของความอบอุ่น ซึ่งจะช่วยให้ครีมรองพื้นรอบดวงตาและ ปกปิดริ้วรอยชนิดแ่ท่งผสมเป็นเนื้อเดียวกับครีมรองพื้น นอกจากนี้ยังช่วยลดปัญหาการรองพื้นเป็นคราบได้ดี
การลงเฉดดิ้ง

•ใช้ครีมรองพื้นรอบดวงตาและปกปิดริ้วรอยชนิดแท่ง สีเข้ม ป้ายไปตามจุดที่ต้องการปกปิด เช่น รอยปาน กระ รอยแผลเป็น รวมถึงของจมูก เพื่อเสริมให้สันจมูกดูเด่นขึ้น จากนั้น ใช้นิ้วมือเกลี่ยให้เนียนกลมกลืน

•หากต้องการแก้ไขรูปหน้าให้เรียวขึ้น ให้ลากครีมรองพื้นรอบดวงตาและปกปิดริ้วรอยชนิดแท่ง เป็นเส้นไปตามแนวขากรรไกร ปีกจมูก คาง หรือหน้าผาก แล้วใช้ฟองน้ำเกลี่ยให้กลมกลืนทั่วบริเวณนั้นๆ

•ควรตรวจสอบให้มั่นใจทุกครั้งว่า บริเวณที่เฉดดิ้งไม่ทิ้งรอยคราบเป็นเส้นเ่ด่นชัด ถ้ามีควรเกลี่ยให้กลมกลืน
การทาแป้งฝุ่น

•ใช้พัฟฟ์แต้มแป้งฝุ่นแล้วนำมากดซับบนใบหน้าโดยใช้นิ้วกลางเป็นตัวลงน้ำหนักเพียงเบาๆ

•หากต้องการลงแป้งผุ่นแบบเบาบาง ให้ใช้พู่กันปลายใหญ่จุ่มแป้งฝุ่น เคาะแปรงเพื่อให้แป้งส่วนเกินหลุดออก ปัดให้ทั่วไปหน้าแทนการใช้พัฟฟ์

•หลังจากลงแป้งฝุ่นเรียบร้อยแล้ว ให้ใช้พู่กันปลายใหญ่ปัดแป้งฝุ่นส่วนเกินออกให้หมดทุกครั้ง

•การลงแป้งฝุ่นควรลง 2 สี เพื่อเสริมสร้างมิติบนใบหน้าให้ดูเด่นชัดมากขึ้น คือ

•ใช้แป้งฝุ่นสีอ่อน สีแฟร์ บริเวณกึ่งกลางใบหน้าหรือจุดที่มีการลงไฮไลท์

•-ตามด้วแป้งฝุ่นสีเข้ม สีมีเดียม บริเวณกรอบหน้าหรือจุดที่มีการเฉดดิ้ง


การเขียนคิ้ว

•กันคิ้วให้ได้รูปก่อนเขียนคิ้วทุกครั้ง

•เริ่มเขียนจากหัวคิ้วไปจนถึงหางคิ้วโดยให้ส่วนหัวคิ้วตรงกับหัวตา จุดสูงสุดของคิ้ว ตรงกับขอบตาดำด้านนอก และความยาวของคิ้วให้ใช้พู่กันวางทาบจากปีกจมูกผ่านหางตาขึ้นมา

•ใช้พู่กันปลายตัดแต้มที่ทาตาแบบฝุ่นสีเดียวกับดินสอบเขียนคิ้วเกลี่ยทับเส้นคิ้ว โดยให้หัวคิ้ว สีอ่อนกว่าหางคิ้ว

•เกลี่ยให้สีจากดินสอเขียนคิ้วเป็นเนื้อเดียวกันกับที่ทาตาแบบฝุ่นให้เป็นธรรมชาติที่สุด


การเขียนขอบตา

•เริ่มเขียนจากของตาล่างจากหางตามาจนถึงกึ่งกลางตา โดยเขียนให้ชิดขอบตามากที่สุด

•ส่วนขอบตาบนให้เริ่มเขียนจากหางตามาจนถึงหัวตา โดยให้เส้นหางตาหนากว่าหัวตา

•บริเวณหางตาให้เขียนในลักษณะตัววี จากนั้นใช้ปลายดินสอเขียนขอบตาด้านที่เป็นฟองน้ำเกลี่ยเส้นขอบตาบนให้กระจายออก เพื่อทำให้ดวงตาดูนุ่มขึ้น

•ส่วนขอบตาล่างให้ใช้ปลายดินสอด้านที่เป็นฟองน้ำแต้มที่ทาตาแบบฝุ่นสีเีดียวกันเกลี่ยทับอีกครั้งหนึ่ง เพื่อป้องกันการซึมเยิ้มระหว่าวัน


เติมแต่งขนตาด้วยมาสคาร่า

•เริ่มต้นด้วยการดัดขนตาก่อน โดยดัดเป็น 3 จังหวะหรือ โคนขนตา กึ่งกลางขนตา และสุดท้ายให้ดัดที่ปลายขนตา

•การปัดขนตาบน ให้มองต่ำและใช้มาสคาค่าปัดจากโคนขนตาออกมา ให้ปัดซ้ำอีกครั้ง หากต้องการให้ขนตาดูงอนหนามากขึ้น

•การปัดขนตาล่าง ให้เหลือบตาขึ้นข้างบนและใช้ปลายมาสคาร่าปัดเบาๆ


การลงสีลิปสติก

•ใช้พู่กันทาปากทางลิปสติกเติมภายในขอบปากที่วาดไว้ โดยเริ่มจากมุมปากล่าง เข้ามาที่ส่วนกลางของริมฝีปาก

•จากนั้น ทาลิปสติกที่ริมฝีปากบน เริ่มจากมุมปากเข้ามาที่ส่วนกลางเช่นกัน

•สีลิปสติกที่ใช้ควรเป็นสีเีดียวกับดินสอเขียนขอบปากเพื่อให้เกลี่ยได้กลมกลืนเป็นธรรมชาติ

40 วิธีการเป็นนักร้อง


40 วิธีการเป็นนักร้อง
1 . อย่ากระทำการใดก็ก็ตามที่ทำให้รู้สึกระคายเคืองต่อเส้นเสียง ซึ่งอาจทำให้เกิดอาการเจ็บคอ

2. เมื่อคุณต้องการหาที่เรียนร้องเพลง ลองสอบถามดูว่าอาจารย์ที่จะมาสอนคุณเป็นใคร มีความเกี่ยวข้องและความสามารถ ทางดนตรีและการร้องเพลงอย่างไร

3. ถ้าคุณมีเนื้อเสียงที่ฟังแล้วดูเพราะดี อาจไม่ได้หมายความว่าคุณจะเป็นนักร้องได้

4. เมื่อคุณร้องเพลง แล้วรู้สึกว่า ทำไมนะ เนื้อเสียงของเราดูแปลกๆ ไม่หวานซึ้ง ไม่ใสปิ๊ง เหมือนใครๆ อย่าตกใจ จงภูมิใจในสิ่งที่ตนมี และพยายามทำให้สิ่งที่คุณมีนั้นดูมีค่าที่สุด ด้วยการร้องอย่างเป็นคุณเอง


5. สำหรับคนที่ต้องการร้องเพลงในสไตล์ป๊อป ไม่แปลกเลยถ้าคุณจะเรียนร้องเพลงในทาง classic ในทางตรงกันข้าม หากคุณฝึกร้องเพลงในทาง pop ได้ดี ก็เป็นพื้นฐานที่ดีในการนำคุณไปสู่การร้องเพลงในทาง classic

6. ไม่ควรสูบบุหรี่ เพราะบุหรี่ นอกจากทำให้คุณเป็นมะเร็งปอด โรคถุงลมโป่งพอง ฯลฯ แล้ว มันยังทำลายเส้นเสียงของคุณอีกด้วย

7. ไม่ควรดื่มสุรา นอกจากทำให้คุณเป็นโรคตับแข็ง พิษสุราเรื้อรัง รวมไปถึงการที่คุณต้องเมาพับไม่เป็นท่าแล้ว การดื่มสุรา อาจทำให้เส้นเลือดฝอยบริเวณเส้นเสียงของคุณขยายมากจนเกินไป เมื่อใช้เสียงในช่วงเวลานั้น อาจทำให้เส้นเลือดฝอยบริเวณนั้นแตก และเกิดอาการเส้นเสียงอักเสบได

8. ห้ามเด็ดขาดสำหรับการหันไปพึ่งยาเสพติด

9. ห้ามให้ใครทำอะไรกับเส้นเสียงของคุณเด็ดขาด แม้กระทั่งหมอ คุณก็ห้ามให้เค้าทำอะไรกับเส้นเสียงของคุณเด็ดขาด เพราะคุณอาจไม่มีเสียง หรืออาจร้องเพลงไม่ได้อีกเลย ถ้าเส้นเสียงของคุณเป็นอะไรไป หมอก็เป็นคน โอกาสผิดพลาดมีได้เสมอ แต่เรื่องเสียงไม่ควรให้ใครมาทดลอง หากพลาด นั่นคือหายนะของคุณเลยล่ะ

10. ห้ามตะโกนแหกปากเสียงดัง พวกนักร้องร็อค ไม่รู้ว่าคอทำด้วยอะไร ถึงสามารถทำได้ขนาดนั้น สำหรับปุถุชนธรรมดาทั่วไป ผมแนะนำว่า อย่าลอง!!

11. พยายามลืมไปได้เลยสำหรับเครื่องดื่มที่เย็นๆ คุณอาจชอบ (ผมก็ชอบ) เพราะเครื่องดื่มที่เย็นจัด ทำให้เส้นเสียงของคุณหดตัว การดื่มน้ำธรรมดา (น้ำไม่ร้อน-ไม่เย็น) ช่วยให้เส้นเสียงมีอุณหภูมิปกติ เหมาะแก่การใช้เสียงและร้องเพลง

12. อย่าพูดมาก....เดี๋ยวเส้นเสียงสึก

13. อย่าใช้ชีวิตอยู่ในที่ๆมีฝุ่นละอองมากๆ

14. อย่าไอแรงๆ หรือขากเสมหะแรงๆ เพราะอาจทำให้เส้นเสียงอักเสบได้ หากรู้สึกระคายคอจริงๆ ควรใช้วิธีกระแอมช่วยลดอาการระคายคอ

15. ถ้าอยากเป็นนักร้องนำ อย่าพยายามร้องในกลุ่มนักร้องประสานเสียงบ่อยๆ เพราะอาจทำให้ระบบการฟังของเราเสียไป เนื่องจากเราต้องฟังคนเสียงอื่นมากๆ ซึ่งร้องกันคนละแนวกับเรา โดยไม่ได้พัก
หมายเหตุ : การร้องประสานเป็นสิ่งที่ดีสำหรับคนที่ชอบฝึกการร้องในแบบขั้นคู่ แต่สำหรับคนที่ไม่ค่อยฝึกได้การฟัง (Ear Training) ไม่ควรร้องในวงประสานเสียงบ่อยๆ เพราะอาจทำให้เกิดอาการหูเพี้ยนได้

16. อย่าร้องเพลงทุกเพลงที่มีเสียงสูงหรือต่ำเกินขีดความสามารถของคุณ ควรเริ่มจากการฝึกเสียงที่คุณมีให้ดีก่อน แล้วหาครูแนะนำอย่างถูกต้อง

17. อย่าใช้เสียงอย่างหนักในการร้องเพลง เกินสัปดาห์ละ 3 ครั้ง พักเสียงบ้างเถอะ หากคุณยังรักมันอยู่ และต้องการใช้มันนานๆ

18. อย่าฝึก หรือพยายามใช้ลูกคอ หากคุณไม่มั่นใจว่าคุณเป็นคนที่ร้องเพลงได้ดี และสามารถควบคุมเสียงได้ตรง pitch แล้วล่ะก็ อย่ารีบร้อนฝึกหัดการใช้ลูกคอ เพราะนั่น อาจทำให้คุณเป็นนักร้องที่ไม่ได้เรื่อง เพราะเสียงของคุณจะแกว่งไปมา ไม่ตรง pitch สิ่งที่คุณควรทำคือการฝึกควบคุมเสียงให้นิ่ง ตรง pitch เมื่อคุณชำนาญในการควบคุมเสียงแล้ว จึงควรฝึกการใช้ลูกคอ

19. อย่าเต้นไปร้องไปเป็นเวลานาน ถ้าคุณรู้จักไมเคิล แจ๊คสัน แล้วลองสังเกตุคอนเสิร์ทของเค้าทุกคอนเสิร์ท คุณจะรู้ว่าเค้าร้องสดเพียงไม่กี่เพลง นอกนั้นต้องร้องลิปซิงค์ เพราะการร้องไปเต้นไปเป็นเวลานานๆ ทำให้เสียงของคุณหมดไวผิดปกติ เพราะคุณต้องใช้ความสามารถสูงในการควบคุมลมหายใจ เมื่อคุณกังวลกับท่าเต้นมากๆ กังวลกับลมหายใจทุกเพลง นั่นละ เสียงของคุณจะไม่เป็นท่าก็เมื่อนั้น

20. ไม่ร้องเพลงด้วยเสียงที่ดังที่สุดของคุณเป็นเวลานานๆ

21. รู้จักถามให้มากที่สุด เมื่อคุณเจอคนที่สามารถให้คำแนะนำคุณได้ในด้านการร้องเพลง

22. อย่าไปเรียนร้องเพลงกับคนที่เส้นเสียงเสีย ตำราฝรั่งเล่มหนึ่งบอกผมไว้ว่า ขนาดเสียงของครูผู้สอนยังเสียได้เลย แล้วเราจะเชื่อได้อย่างไรว่าครูผู้สอนจะไม่ทำให้เสียงของเราเสียไปด้วย

23. ถ้าครูผู้สอนของคุณเป็นนักร้องชั้นยอด อลงพยายามทำความเข้าใจเนื้อหาและวิธีการสอนของเค้าดูนะครับ ถ้าสอนดี ก็โอเคเลย แต่ถ้าสอนได้ไม่ดีให้คุณนึกถึงคำที่ผมบอกนะครับ "คนที่ร้องเพลงดี ไม่ได้หมายความว่าเค้าจะสามารถถ่ายทอดวิชาการร้องเพลงให้คุณได้ดี"

24. พยายามหลีกเลี่ยงการอยู่ในห้องปรับอากาศเป็นเวลานานๆ ก่อนการขึ้นเวทีเพื่อร้องเพลง เพราะนอกจากหนาวแล้ว ความเย็นของอากาศ ทำให้ความชื้นในร่างกายของเราระเหยไป อาจทำให้รู้สึกคอแห้งได้ เพราะเราสูดเอาอากาศที่แห้งกว่าเข้าไป พร้อมกับปล่อยอากาศชื้นออกจากตัวเรา

25. พยายามศึกษา และหาทางเรียนรู้เกี่ยวกับอวัยวะทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับการร้องเพลง เช่น กล่องเสียง เส้นเสียง กระบังลม กล้ามเนื้อหน้าท้อง ฯลฯ

26. ถ้าการเรียนร้องเพลง หมายถึงการเรียนเทคนิคการใช้เสียงที่ถูกต้อง นั่นหมายถึงว่า เมื่อคุณเรียนร้องเพลง จะต้องได้รับความรู้และการฝึกฝน การใช้เสียงอย่างถูกต้อง เพื่อไม่ให้เกิดอาการเจ็บคอ อันเนื่องมาจากการใช้เสียงมากเกินไป หรือผิดวิธี

27. การฝึกการร้องเพลง ควรฝึกอย่างช้าๆ ใจเย็นๆ อย่าคิดว่าการรีบร้อนฝึกหนักจะทำให้คุณเก่งในพริบตาได้ การฝึกซ้อมอย่างถูกต้อง พอดี และสม่ำเสมอทุกวัน ทำให้เสียงของเราค่อยๆพัฒนาไปอย่างมีระบบ

28. พยายามเรียนรู้การร้องในแต่ละสไตล์ให้มากที่สุดเท่าที่คุณจะทำได้ ยิ่งคุณรู้มากและทำได้มาก นั่นคือความสามารถเฉพาะตัวที่ยากจะหาใครเลียนแบบ

29. ดูแลรักษาช่องปากและฟันของคุณอย่างสม่ำเสมอ เพื่อลมปากปอมสดชื่น เวลาคุณร้องเพลง

30. เมื่อคุณต้องร้องเพลง จำไว้ว่า คุณต้องรู้ความหมายของบทเพลงนั้นๆ ทุกคำ ทุกความหมาย ร้องให้ได้อารมณ์ตามนั้น ที่สำคัญ คุณอย่าได้อารมณ์เพียงคนเดียวนะ ผู้ฟังต้องได้ยินเสียงคุณแล้วรู้สึกได้ถึงอารมณ์ที่คุณต้องการสื่อด้วย

31. ร้องเพลงอย่างเดียวไม่พอแน่ ท่าทางคือสิ่งที่นักร้องหลายๆ คน แสดงออกมาอย่างไม่ได้เรื่อง ถ้าคุณร้องเพลงไปแล้วยืนตรงเหมือนคนเคารพธงชาติ คุณคิดว่าใครอยากจะมองคุณบ้าง ใช้หูเพื่อฟังคุณก็พอแล้วมั๊ง ถ้าคุณไม่อยากเป็นอย่านั้น เริ่มต้นฝึกการใช้ลีลาท่าทางซะ อย่าคิดว่าขึ้นเวทีแล้วมันจะได้เอง จากประสบการณ์แล้วนั้น ผมไม่เคยพบใครแม้แต่คนเดียวที่สามารถทำอะไรได้ดี โดยไม่ได้มีการฝึกซ้อมไว้ก่อน บางคนฝึกไว้แล้ว 100% ยังทำได้แค่ไม่ถึง 80% เอง เพราะฉะนั้นจงซ้อมไว้สัก 120-150 % แล้วคุณจะร้องได้ดี 100% เลย ผมรับรอง

32. ทำความเข้าใจดนตรี คุณควรรู้ว่านักดนตรีต้องการสื่ออารมณ์อย่างไร ในบทเพลงที่คุณร้อง ลองฝึกฟังดนตรีเยอะๆ พยายามทำความเข้าใจอารมณ์ที่สื่อออกมาจากดนตรีแต่ละประเภท แต่ละแนวเพลง

33. หลายคนชอบพูดว่า ไม่สามารถร้องเพลงแต่เช้าได้ หรือร้องเพลงตอนดึกๆ ไม่ไหว เพราะเสียงไม่มา ผมมั่นใจว่า ไม่มีคำๆ นี้ในพจนานุกรมของ นักร้องที่ได้รับการฝึกฝนอย่างสม่ำเสมอ ยกเว้น วันนั้นมันดันพิเรนท์ นอนดึกเสียงเกินกว่าเหตุ ดื่มสุรา หรือไม่สบาย

34. วิธีการรักษาเสียงของคุณอย่างง่ายๆ และได้ผล คือการนำผ้าชุบน้ำอุ่น มาประคบที่คอ เป็นเวลาประมาณ 10 นาที โดยช่วงนั้น คุณควรพักการใช้เสียงด้วย

35. รู้สึกเหมือนคอมีเสมหะตลอดเวลาเลย เรื่องแบบนี้แก้ไม่ยาก คุณสามารถล้างคอของคุณได้ ด้วยการดื่มน้ำอุ่น ผสมเกลือ 1/2 ช้อนโต๊ะ ผสมโซดา ทุกเช้า วิธีนี้ได้ผลดีเลยทีเดียว ในการกำจัดอาการระคายคอบ่อยๆของคุณออกไป

36. เมื่อต้องขึ้นเวที อย่าใส่เสื้อผ้าที่หนาๆ เพราะแสงไฟบนเวทีน่ะ "ร้อนมาก" ยืนพักเดียวก็เหงื่อชุ่มแล้ว ร้อนขนาดนั้น คุณคงไม่มีกระใจจะร้องเพลงสักเท่าไหร่หรอก

37. การเรียนรู้วิธีการร้องเพลง และการใช้เสียงอย่างถูกต้อง ต้องใช้เวลาในการเรียน และการฝึกฝนเท่านั้น ไม่มีวิธีลัดใดๆทั้งสิ้น

38. ฝึกการฟังเป็นประจำ ด้วยแบบฝึกหัดการฝึกฟัง การฟัง ทำให้คุณเป็นนักร้องที่ดีได้ เพราะถ้าคุณยิ่งแม่นยำในการฟังโน้ตเท่าไหร่ คุณก็จะสามารถขึ้นร้องเพลงบนเวทีได้ โดยไม่ต้องกังวลว่าจะร้องเพี้ยน

39. หยุดซ้อมร้องเพลงได้ แต่อย่าให้เกินสัปดาห์ละ 1 ครั้ง การซ้อมเสมอๆ ย่อมดีกว่าการหยุดซ้อมเป็นประจำ

40. ดูแลตัวเองอยู่เสมอ ทั้งเรื่องเสียง หน้าตา สุขภาพร่างกาย เพื่อให้เราเป็นคนที่มีบุคลิกภาพที่ดูดี สะอาดสะอ้าน ร่างกายแข็งแรง หน้าตาสดใส จิตใจปลอดโปร่ง พร้อมสำหรับการร้องเพลงอย่างมีคุณภาพ และเป็นนักร้องที่ดี

การใช้ไฟฟ้าอย่างประหยัดและปลอดภัย



การใช้ไฟฟ้าอย่างประหยัดและปลอดภัย
ต้องคำนึงว่าทำอย่างไร จะใช้ไฟฟ้าคุ้มค่าประหยัด และเกิดประโยชน์สูงสุด ควรจะต้องเริ่มตั้งแต่รู้จักวิธีการเลือกใช้เครื่องใช้ไฟฟ้าที่มีประสิทธิภาพให้เหมาะสมต่อการใช้งานตลอดจนมีความรู้ความเข้าใจ
ในเครื่องใช้ไฟฟ้าอย่างถ่องแท้จึงจะใช้เครื่องไฟฟ้าอย่างถูกวิธี นอกจากนี้ยังช่วยประหยัดพลังงานและยังมีผลดีต่อส่วนรวมของประเทศ
ในแง่ของการอนุรักษ์ธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อมอีกด้วย
ไฟฟ้ามีประโยชน์มากมายก็จริงแต่ในขณะเดียวกันก็มีอันตรายอยู๋ในตัวของมันเอง ถ้าใช้ผิดวิธีอาจเป็นอัตรายถึงชีวิตได้ เพราะความประมาทหรือเพิกเฉยต่อสิ่งที่เกิดขึ้นเพียงเล็กน้อยอาจนำมาซึ่งความหายนะและความสูญเสียต่างๆ แม้กระทั้งชีวิตของตัวผู้ใช้เอง
ผู้ใช้ไฟฟ้าจึงมีความจำเป็นต้องศึก1.ควรตรวจสอบให้แน่ชัดก่อนว่าจ้างบริษัทหรือช่างที่จะดำเนินการออกแบบและเดินสายติดตั้งระบบไฟฟ้า
ว่าเป็นผู้ที่มีประสบการณ์ และมีความรู้ความชำนาญเท่านั้น
2.อุปกรณ์การติดตั้งทางไฟฟ้าต้องเป็นชนิดที่ได้รับมาตรฐานต่างๆ เช่น สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม(สมอ.)
UL, VDE, IEC เป็นต้น
3.การเดินสายและติดตั้งอุปกรณ์ไฟฟ้า ต้องเป็นไปตามกฎการเดินสายและติดตั้งอุปกรณ์ไฟฟ้า
4.ก่อนใช้เครื่องใช้ไฟฟ้าต้องอ่านและศึกษาคู่มือแนะนำการใช้งานให้เข้าใจและปฏิบัติตามคำแนะนำอย่างเคร่งครัด
5.เครื่องใช้ไฟฟ้าที่มีเปลือกหุ้มภายนอกทำด้วยโลหะทุกชนิด เครื่องใช้ไฟฟ้าที่อาจมีไฟฟ้ารั่วมากับน้ำจำเป็นต้องมีการต่อ
สายดินภายในบ้าน และใช้เต้าเสียบชนิดที่มีขั้วสายดินกับเต้ารับชนิดมีขั้วสายดินที่เป็นมาตรฐานเดียวกัน
เครื่องใช้ไฟฟ้าเหล่านี้ เช่น ตู้เย็น เตารีด หม้อหุงข้าว เตาไมโครเวฟ เครื่องซักผ้า หม้อต้มน้ำร้อน กระทะไฟฟ้า
เครื่องทำน้ำอุ่น เตาไฟฟ้า
เครื่องปรับอากาศ เป็นต้น
6.เมื่อร่างกายเปียกชื้น ห้ามแตะต้องส่วนที่มีไฟฟ้าเครื่องใช้ไฟฟ้าเป็นอันขาดเพราะอาจมีไฟรั่ว และความต้านทานไฟฟ้าของผิวหนังที่เปียกชื้นลดลงอย่างมากทำให้กระแสไฟฟ้าสามารถไหลผ่านร่างกายได้โดยสะดวก
อาจทำให้เสียชีวิตได้ เช่น การใช้เครื่องทำน้ำอุ่นในการอาบน้ำ นอกจากจะต้องติดตั้งสายดินแล้ว จะต้องติดตั้งเครื่องตัดไฟรั่วเพื่อเสริมการทำงานของสายดินให้ปลอดภัยยิ่งขึ้นด้วย
7.ในการเดินสายไฟหรือลากสายไฟไปใช้งานนอกอาคารชั่วคราวหรือถาวร เช่น งานก่อสร้าง , ต่อเติม , ปรับปรุงนอกอาคาร นอกจากอุปกรณ์ไฟฟ้าหรือเต้ารับนั้นจะต้องมีเครื่องตัดไฟรั่วด้วย จึงจะปลอดภัย
8.ควรแยกวงจรไฟฟ้าที่น้ำอาจท่วมถึง เช่น บริเวณชั้นล่างของอาคาร เพื่อให้สามารถปลดไฟออกได้ทันทีเมื่อเกิดน้ำท่วมหรืออาจป้องกันวงจรที่แยกออกนี้ด้วยเครื่องตัดไฟรั่วก็ได้
9.หมั่นตรวจสอบอุปกรณ์ติดตั้งทางไฟฟ้าเป็นประจำอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง
10.ฝึกให้เป็นคนช่างสังเกตสิ่งผิดปกติจากสี กลิ่น เสียง และการสัมผัสอุณหภูมิ รวมทั้งการใช้เครื่องมือง่ายๆ เช่น
ไขควงหลอดไฟ เป็นต้น ตัวอย่างการสังเกต เช่น สีของสายเปลี่ยน มีกลิ่นไหม้ มีรอยเขม่า หรือรอยไหม้ มือจับสวิตช์ไฟหรือปลั๊กไฟแล้วรู้สึกอุ่นๆ เหล่านี้แสดงว่ามีความร้อนผิดปกติเกิดขึ้น อาจเกิดจากจุดต่อต่างๆ ไม่แน่นเต้าเสียบเต้ารับหลวม เป็นต้น
11.อย่าพยายามใช้ไฟฟ้าหรือเปิดสวิตช์ไฟฟ้า เช่น พัดลมระบายอากาศในบริเวณที่มีไอของสารระเหยหรือก๊าซที่ไวไฟปกคลุมอยู่เต็มพื้นที่
เช่น ก๊าซหุงต้ม ทินเนอร์ หรือไอน้ำมันเบนซิน
12.ให้ระมัดระวังการใช้อุปกรณ์ไฟฟ้าราคาถูกที่ผลิตแบบไม่ได้มาตรฐาน นอกจากจะมีอายุการใช้งานสั้นแล้ว อาจไม่ปลอดภัยในการใช้งานโดยเฉพาะเรื่องอัคคีภัย
13.อุปกรณ์ที่มีการเสียบปลั๊กทิ้งไว้นานๆโดยที่ไม่มีผู้ดูแล เช่น หลอดไฟทางเดินหรือบันได, หม้อแปลงไฟขนาดเล็ก (ที่เรียกกันว่าอะแดปเตอร์) เครื่องชาร์จแบตเตอรี่ขนาดเล็ก เป็นต้น หากมีความจำเป็นต้องใช้ให้หลีกเลี่ยงการใช้ในบริเวณที่มีวัสดุติดไฟได้อยู่ใกล้ๆ
14.ทุกครั้งที่เลิกใช้เครื่องใช้ไฟฟ้า ให้ปิดสวิตซ์เครื่องใช้ไฟฟ้าก่อนและถอดปลั๊กออกจากเต้ารับทุกครั้ง เพื่อไม่ให้เครื่องใช้ไฟฟ้าชำรุดง่าย
15.อย่าพยายามซ่อมเครื่องใช้ไฟฟ้าด้วยตนเองหรือโดยช่างที่ไม่มีความรู้ความชำนาญไม่เพียงพอเครื่องใช้ไฟฟ้าบางประเภท
จำเป็นต้องอาศัยอุปกรณ์ ตรวจสอบด้านความปลอดภัย เช่น เตาไมโครเวฟ ต้องมีการตรวจสอบของการรัวของคลื่นไมโครเวฟไม่ให้มีมากเกินอันตรายที่กำหนด หรือเครื่องใช้ที่มีสายดินต้องตรวจสอบความต่อเนื่องและฉนวนของสายดินกับสายศูนย์ เป็นต้น
16.หลีกเลี่ยงการใช้เครื่องมือไฟฟ้าในขณะที่มีฝนตกฟ้าคะนอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์
เช่น โทรทัศน์ วีดีโอ เครื่องเสียง คอมพิวเตอร์ อุปกรณ์สื่อสาร โทรศัพท์ เป็นต้น เพื่อป้องกันไม่ให้เครื่องใช้ไฟฟ้าเหล่านี้ชำรุดเสียหายเมื่อมีฟ้าผ่าเกิดขึ้นในบริเวณใกล้เคียง ให้ปิดเครื่องถอดปลั๊กรวมทั้งสายอากาศ และสายโทรศัพท์ออกจากเครื่องทุกครั้ง
17.เครื่องใช้ไฟฟ้าที่ควบคุมการปิด-เปิด ด้วยรีโมทคอนโทรล หรือปุ่มสัมผัสอิเล็กทรอนิกส์ โทรทัศน์ เครื่องเสียงอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ เมื่อปิดเครื่องจะมีไฟเลี้ยงวงจรควบคุมอยู่ตลอดเวลา จึงมักมีตัวอย่างของการเกิดอุปกรณ์ควบคุมภายในชำรุด และบางครั้งทำให้เกิดไฟลุกไหม้ทรัพย์สินเสียหายอยู่เสมอ ดั้งนั้นจึงควรถอดปลั๊ก หรือติดตั้งวงจรสวิตช์ตัดต่อวงจร เพื่อปลดไฟออกทุกครั้งที่เลิกใช้งาน
18.ฝึกฝนให้รู้จักวิธีแก้ไขและป้องกันรวมทั้งช่วยเหลือปฐมพยาบาล เมื่อมีอุบัติเหตุทางไฟฟ้าเกิดขึ้น ษาวิธีการใช้ไฟฟ้าอย่างปลอดภัยควบคู่ไปด้วย

วิธีการใช้แอร์อย่างประหยัด


วิธีการใช้แอร์อย่างประหยัด
ปิดสวิตซ์ไฟ และเครื่องใช้ไฟฟ้าทุกชนิดเมื่อเลิกใช้งาน สร้างให้เป็นนิสัยในการดับไฟทุกครั้งที่ออกจากห้อง
เลือกซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ได้มาตรฐาน ดูฉลากแสดงประสิทธิภาพให้แน่ใจทุกครั้งก่อนตัดสินใจซื้อ หากมีอุปกรณ์ไฟฟ้าเบอร์ 5 ต้องเลือกใช้เบอร์ 5
ปิดเครื่องปรับอากาศทุกครั้งที่จะไม่อยู่ในห้องเกิน 1 ชั่วโมง สำหรับเครื่องปรับอากาศทั่วไป และ 30 นาที สำหรับเครื่องปรับอากาศเบอร์ 5
หมั่นทำความสะอาดแผ่นกรองอากาศของเครื่องปรับอากาศบ่อย ๆ เพื่อลดการเปลืองไฟในการทำงานของเครื่องปรับอากาศ

ตั้งอุณหภูมิเครื่องปรับอากาศที่ 25 องศาเซลเซียส ซึ่งเป็นอุณหภูมิที่กำลังสบาย อุณหภูมิที่เพิ่มขึ้น 1 องศา ต้องใช้พลังงานเพิ่มขึ้นร้อยละ 5-10
ไม่ควรปล่อยให้มีความเย็นรั่วไหลจากห้องที่ติดตั้งเครื่องปรับอากาศ ตรวจสอบและอุดรอยรั่วตามผนัง ฝ้าเพดาน ประตูช่องแสง และปิดประตูห้องทุกครั้งที่เปิดเครื่องปรับอากาศ
ลดและหลีกเลี่ยงการเก็บเอกสาร หรือวัสดุอื่นใดที่ไม่จำเป็นต้องใช้งานในห้องที่มีเครื่องปรับอากาศ เพื่อลดการสูญเสีย และใช้พลังงานในการปรับอากาศภายในอาคาร
ติดตั้งฉนวนกันความร้อนโดยรอบห้องที่มีการปรับอากาศ เพื่อลดการสูญเสียพลังงานจาก การถ่ายเทความร้อนเข้าภายในอาคาร
ใช้มู่ลี่กันสาดป้องกันแสงแดดส่องกระทบตัวอาคาร และบุฉนวนกันความร้อนตามหลังคาและฝาผนัง เพื่อไม่ให้เครื่องปรับอากาศทำงานหนักเกินไป
หลีกเลี่ยงการสูญเสียพลังงานจากการถ่ายเทความร้อนเข้าสู่ห้องปรับอากาศ ติดตั้งและใช้อุปกรณ์ควบคุมการเปิด-ปิดประตูในห้องที่มีเครื่องปรับอากาศ


ควรปลูกต้นไม้รอบ ๆ อาคาร เพราะต้นไม้ขนาดใหญ่ 1 ต้น ให้ความเย็นเท่ากับเครื่องปรับอากาศ 1 ตัน หรือให้ความเย็นประมาณ 12,000 บีทียู
ควรปลูกต้นไม้เพื่อช่วยบังแดดข้างบ้านหรือเหนือหลังคา เพื่อเครื่องปรับอากาศจะไม่ต้องทำงานหนักเกินไป
ปลูกพืชคลุมดินเพื่อช่วยลดความร้อน และเพิ่มความขึ้นให้กับดิน จะทำให้บ้านเย็น ไม่จำเป็นต้องเปิดเครื่องปรับอากาศเย็นจนเกินไป
ในสำนักงาน ให้ปิดไฟ ปิดเครื่องปรับอากาศ และอุปกรณ์ไฟฟ้าที่ไม่จำเป็น ในช่วงเวลา 12.00-13.00 น. จะสามารถประหยัดค่าไฟฟ้าได้
ไม่จำเป็นต้องเปิดเครื่องปรับอากาศก่อนเวลาเริ่มงาน และควรปิดเครื่องปรับอากาศก่อนเวลาเลิกใช้งานเล็กน้อย เพื่อประหยัดไฟ
เลือกซื้อพัดลมที่มีเครื่องหมายมาตรฐานรับรอง เพราะพัดลมที่ไม่ได้คุณภาพมักเสียง่าย ทำให้สิ้นเปลือง
หากอากาศไม่ร้อนเกินไป ควรเปิดพัดลมแทนเครื่องปรับอากาศ จะช่วยประหยัดไฟ ประหยัดเงินได้มากทีเดียว
ใช้หลอดไฟประหยัดพลังงาน ใช้หลอดผอมจอมประหยัดแทนหลอดอ้วน ใช้หลอดตะเกียบแทนหลอดไส้ หรือใช้หลอดคอมแพคท์ฟลูออเรสเซนต์
ควรใช้บัลลาสต์ประหยัดไฟหรือบัลลาสต์อิเล็กโทรนิกคู่กับหลอดผอมจอมประหยัด จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการประหยัดไฟได้อีกมาก
ควรใช้โคมไฟแบบมีแผ่นสะท้อนแสงในห้องต่าง ๆ เพื่อช่วยให้แสงสว่างจากหลอดไฟ กระจายได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ทำให้ไม่จำเป็นต้องใช้หลอดไฟฟ้าวัตต์สูง ช่วยประหยัดพลังงาน
**ข้อมูลจาก 108 วิธีประหยัดพลังงาน ... สำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ**

เอ็ดดูเวิลด์ ขอแนะเคล็บลับการเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยน


เอ็ดดูเวิลด์ ขอแนะเคล็บลับการเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยน
“เอ็ดดูเวิลด์
แนะ แนวทางเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนอย่างไรไม่ให้ถูกหลอก”


ผู้ให้สัมภาษณ์
คุณณัฐนิชา สถิตย์จินดาวงศ์ General Manager : Eduworld Overseas Study Center

โครงการนักเรียนแลกเปลี่ยนถือกำเนิดขึ้นมาจากแนวคิดของรัฐบาลอเมริกาในการแลกเปลี่ยนนักเรียนระหว่างประเทศ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้เกิดการเรียนรู้ในหมู่เยาวชนว่า ถึงแม้มนุษย์ในโลกนี้มีความแตกต่างด้านความเป็นอยู่และวัฒนธรรม ภาษาที่ใช้ อาหารการกิน การแต่งกาย และท่าทาง สีผิวที่ต่างกัน แต่ในความต่างนี้ มนุษย์เราก็สามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างเข้าใจและมีความสัมพันธ์อันดีต่อกันของมวลมนุษยชาติ อยู่ร่วมกันได้อย่างสันติสุข


แนวคิดนี้ได้นำมาเป็นรูปธรรมโดยเป็นโครงการทำกันอย่างจริงจัง มามากกว่า 50 ปี โดยการนำนักเรียนในประเทศอื่นมาอยู่กับครอบครัวอเมริกันที่อาสาให้ที่พักและอาหารกับนักเรียนโดยต้องการแลกเปลี่ยนและเรียนรู้วัฒนธรรมอื่นด้วย ในระยะแรกๆ มีการประเมินผลและได้ผลเป็นอย่างดี จึงเริ่มมีมูลนิธิต่างๆในอเมริกาทำโครงการนี้ร่วมกับรัฐบาลมากขึ้น และมีการขยายไปยังประเทศอื่นด้วยเช่น ประเทศในทวีปยุโรป และอเมริกาใต้ ออสเตรเลีย


ในปัจจุบันมีความต้องการนักเรียนจากประเทศในทวีปเอเชียมากขึ้น จึงมีการให้โควต้าแก่นักเรียนในประเทศเหล่านี้เพิ่มขึ้นด้วย ในปัจจุบัน จึงมีนักเรียนไทยที่เข้าร่วมโครงการนักเรียนแลกเปลี่ยน พร้อมกับมีองค์กรที่ประสานงานด้านนี้เพิ่มมากขึ้นด้วย


ลักษณะของโครงการแลกเปลี่ยนนักเรียนโดยทั่วไป เป็นการคัดเลือกนักเรียนที่ถือสัญชาติไทยที่มีทัศนคติที่ดี มีใจเปิดกว้างในการเรียนรู้สิ่งใหม่ เป็นตัวแทนเด็กไทยที่ดี อายุระหว่าง 14 – 18 ปี เข้าเรียนร่วมกับนักเรียนอเมิรกันในโรงเรียนมัธยมของรัฐบาล เป็นระยะเวลา 1 ปีการศึกษา (ประมาณ 10 เดือน) โดยพักอยู่ร่วมกับครอบครัวอาสาสมัคร โดยนักเรียนควรเข้าร่วมกับกิจกรรมต่างๆในโรงเรียนเช่น เข้าชมรมกีฬาต่างๆ และกิจกรรมของมูลนิธิเช่น การทำกิจกรรมเพื่อสังคมอาทิเช่น การช่วยเหลือผู้ประสบภัยพายุแคทีน่า อ่านหนังสือให้คนชรา เก็บขยะตามชายหาด รวมทั้ง เข้าร่วมกิจกรรมในครอบครัว และท่องเที่ยวตามโอกาส


สำหรับโครงการนักเรียนแลกเปลี่ยนของ EduWorld จัดต่อเนื่องมาเป็นปีที่ 6 โดยมีนักเรียนจนถึงปัจจุบันกว่าร้อยคน ก่อนเริ่มทำโครงการนี้ EduWorld ดำเนินงานเกี่ยวกับการให้คำปรึกษาศึกษาต่อมากว่า 20 ปี ( ก่อตั้งปี 1987) ได้ทำการศึกษาและค้นคว้าความเป็นมาโครงการและประวัติมูลนิธิต่างๆพร้อมทั้งเดินทางไปเยี่ยมชมมูลนิธิที่ประเทศอเมริกา ได้พูดคุยกับเจ้าหน้าที่ของมูลนิธิ และครอบครัวอาสาสมัครก่อนเริ่มประกาศรับสมัครโครงการ




คุณณัฐนิชา สถิตย์จินดาวงศ์ General Manager : Eduworld Overseas Study Center กล่าวถึง
สิ่งที่ EduWorld คาดหวังว่านักเรียนที่เข้าร่วมโครงการทุกท่านจะได้รับคือ “ทักษะภาษาอังกฤษควรจะดีขึ้น (อย่างน้อย 70 %) สองคือมีทักษะสังคมเพิ่มขึ้นและอยู่ร่วมกับผู้อื่น 50 % และสุดท้าย คือเด็กทุกคนจะต้องช่วยเหลือและดูแลตนเองได้ดีขึ้น ซึ่ง EduWorld จะยึดหลักในการดำเนินจุดนี้ว่า นักเรียนแลกเปลี่ยนทุกคนคือยุวทูต เป็นตัวแทนคนไทย ประเทศไทย เป็นทูตทางวัฒนธรรมของชาติ จึงทำให้ทาง EduWorld จะเน้นจัดปฐมนิเทศ และเข้าค่ายโดยรุ่นพี่สอนรุ่นน้อง เพื่อเน้นย้ำให้นักเรียนที่ผ่านการคัดเลือกทำหน้าที่นี้อย่างดี เพื่อให้ชาวต่างชาติรู้จักเมืองไทยประทับใจความเป็นไทย และ คนไทย นอกจากนี้ เมื่อจบโครงการ ทาง EduWorld จัดให้มีปัจฉิมนิเทศ เพื่อ ติดตามความเปลี่ยนแปลงของนักเรียน และ มุ่งเน้น ให้ นักเรียนนำสิ่งที่ดีในต่างแดน มาพัฒนาตนเอง และประเทศชาติ ในมุมกว้าง โครงการนี้ส่งเสริมความสัมพันธ์อันดีต่อกันของมวลมนุษยชาติให้ผู้คนทั่วโลกอยู่ร่วมกันได้อย่างเข้าใจและสันติสุข”


และจากการให้บริการเกี่ยวกับการแลกเปลี่ยนนักเรียนที่ผ่านมาของ Eduworld มักเป็นเรื่องเกี่ยวกับการจัดหา และ Match Host Family ให้แก่นักเรียน ซึ่งเป็นสิ่งที่ต้องใช้ความละเอียดอ่อนและอาศัยเวลาพอสมควร ในการหาครอบครัวที่เหมาะสม ทั้งด้านฐานะ ความเป็นอยู่ บุคลิก อุปนิสัยและความชอบที่เข้ากันได้กับนักเรียน นอกจากนี้ การ Matching ยังยากและซับซ้อนขึ้นไปอีก ในเงื่อนไขที่ว่า ครอบครัวอาสาสมัครและโรงเรียนต้องอยู่ในระยะที่กำหนดไว้ด้วย


นอกจากนี้ การปรับตัวของนักเรียนก็เป็นสิ่งสำคัญ จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่ผู้ดำเนินโครงการนักเรียนแลกเปลี่ยนควรจะต้องมี tools ต่างๆเพื่อช่วยเตรียมความพร้อมให้น้องๆ ทั้งก่อนการเดินทาง (ที่ EduWorld จัดให้มีการประชุมอย่างน้อย 3 ครั้ง และให้หลักสูตรเตรียมความพร้อมด้านภาษาแก่นักเรียนที่ผ่านการคัดเลือก) สิ่งที่สำคัญอีกอย่างคือ การติดตามดูแลน้องๆในระหว่างที่ใช้ชีวิตอยู่ต่างประเทศ โดยเฉพาะช่วงเดือนแรกที่ไปถึงซึ่งเป็นช่วงแห่งการปรับตัว
ดังนั้นในส่วนของการดูแลนักเรียนของEduworld ณัฐนชา กล่าวว่า “เรามีการติดต่อประสานงานอย่างใกล้ชิดกับมูลนิธิที่อเมริกา นักเรียนทุกคนจะอยู่ภายใต้การดูแลของ CR หรือ ที่ปรึกษา ซึ่งจะเป็นผู้ให้ความช่วยเหลือนักเรียนในทันทีที่เกิดปัญหา นอกจากนี้ Counsellor ของ Eduworld ยังติดต่อกับนักเรียน ทั้งทาง Email และโทรศัพท์ ตลอด ในกรณีที่นักเรียนเกิดปัญหา ทางเจ้าหน้าที่ของเรา จะเป็นผู้ดำเนินการ ประสานงานกับมูลนิธิต่างประเทศและให้คำปรึกษาแก่นักเรียนโดยตรง เพื่อแก้ไขปัญหาให้เร็วที่สุด


ด่านแรกที่ต้องผ่านการทดสอบคือ เรื่องภาษา
สำหรับวิธีการเตรียมตัวสำหรับนักเรียนที่สนใจเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยน คุณณัฐนิชา กล่าวว่า “น้องๆควรเตรียมตัวเรื่องภาษาโดยเฉพาะทักษะการฟังและพูด เพราะเป็นด่านแรกที่จะต้องผ่านในการทดสอบ นอกจากนี้ ควรจะต้องดูหนัง ฟังเพลง ประเทศที่เป็นจุดมุ่งหมายของเราให้มากๆ เพื่อความเข้าใจในวัฒนธรรม และนำไปใช้ในการปรับตัว ให้สามารถใช้ชีวิตอย่างมีความสุขและเก็บเกี่ยวประสบการณ์ในต่างแดนอย่างคุ้มค่า
ส่วนเกณฑ์ในการเลือกประเทศปลายทางที่ต้องการไปเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยน เห็นว่าน้องๆควรจะมีความสนใจในวัฒนธรรมประเทศนั้นๆ และหากต้องการพัฒนาทักษะภาษาอังกฤษ ก็ควรเลือกประเทศสหรัฐอเมริกา หรือ อังกฤษ เป็นต้น


ต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มประมาณ 2 – 3 แสนบาท
ในส่วนของค่าใช้จ่ายนั้น โดยปกติแล้วเวลาที่พ่อแม่ผู้ปกครองจะส่งลูกไปเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนที่ต่างประเทศจะต้องเสียค่าใช้จ่าย ดังนี้คือ
1. ทุนสมทบที่ให้กับโครงการซึ่งมีตั้งแต่ 4,900 – 6,900 เหรียญ (ขึ้นอยู่กับความสามรถของนักเรียน) โดยเงินจำนวนนี้ ครอบคลุมค่าเล่าเรียน ค่าที่พัก 1 ปีการศึกษา
2. Pocket Money นักเรียน เพื่อใช้เป็นค่าอาหารกลางวันและค่าใช้จ่ายจุกจิกอื่นๆในชีวิตประจำวัน โดยเฉลี่ย 100 – 300 เหรียญ ต่อเดือน ขึ้นกับการใช้จ่ายของนักเรียน
3. ค่าตั๋วเครื่องบิน และค่าธรรมเนียมวีซ่า
(ค่าตั๋วเครื่องบิน 60,000-80,000 บาท ราคาตั๋วขึ้นอยู่กับระยะทางและเมืองที่ไปอยู่
ค่าธรรมเนียมวีซ่า 4000บาท)
โดยสรุป ค่าใช้จ่ายทั้งหมด ประมาณ 250,000 – 350,000 บาท
คุณณัฐนิชา กล่าวต่อว่า “จากประสบการณ์ที่ผ่านมาของ Eduworld พบว่ามีเรื่องที่พ่อแม่กังวลใจหรือเป็นห่วงเกี่ยวกับการส่งลูกไปเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยน ส่วนใหญ่เรื่อง ครอบครัวอาสาสมัคร จะเป็นเรื่องที่คุณพ่อคุณแม่เป็นห่วงมากที่สุดค่ะ ความกังวลของคุณพ่อคุณแม่ ส่วนใหญ่จะกลัวว่าครอบครัวจะมีนิสัยใจคอที่เข้ากับลูกของตนไม่ได้ หรือ ดูแลลูกของตนได้ไม่ดีเท่าที่ควร ซึ่งถ้าพ่อแม่ผู้ปกครองหรือเยาวชนอยากเลือกใช้บริการแลกเปลี่ยนนักเรียนจากบริษัทเอกชนต่าง ๆ ที่ให้บริการทั่วไป ควรจะใช้กรอบหรือหลักเกณฑ์ใดในการพิจารณาคัดเลือกบริษัทให้เหมาะสมและน่าไว้วางใจ เพื่อไม่ให้ถูกหลอก ดังนี้คือ
1. พิจารณาประสบการณ์การบริหารโครงการ เช่น เคยดูแลบริหารโครงการนี้มาก่อนหรือไม่
2. ความมั่นคงและน่าเชื่อถือขององค์กร มีผู้อ้างอิงได้หรือไม่
3. การให้ข้อมูลอย่างถูกต้องและตรวจสอบได้ เช่น ข้อมูลต่างๆเป็นความจริงหรือไม่ มูลนิธิในเมืองนอกที่องค์กรประสานงานมีตัวตนจริงหรือไม่”

วันพฤหัสบดีที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2553

เป็นครูที่ดี..ใช่มีแค่เตรียมการสอน.


เป็นครูที่ดี..ใช่มีแค่เตรียมการสอน.
จากอดีตกาล จนถึงปัจจุบัน อาชีพที่ได้รับการยกย่องจากสังคมว่าเป็นอาชีพที่มีเกียรติ และผู้คนในสังคมได้ให้ความศรัทธา เคารพ นับถือ อย่างจริงใจ เพราะถือว่าเป็นผู้ที่มีพระคุณต่อคนในครอบครัว ถึงขนาดให้เกียรติ ใช้คำนำหน้าเรียก “คุณ” ทุกครั้ง ที่กล่าวถึง คือ คุณหมอ กับ คุณครู ซึ่งเป็นผู้มีบทบาทสำคัญในสังคม สามารถชี้นำ และเป็นที่พึ่งพิงของคนในสังคมได้



หากจะพิจารณาให้ดีจะพบว่า เด็กในวันนี้ คือ ผู้ใหญ่ ในวันข้างหน้า ดังนั้นอนาคตของประเทศชาติ จึงอยู่ในกำมือของ เยาวชน ที่จะเติบโตขึ้น ในขณะเดียวกัน อนาคตของ เยาวชน นั้น อยู่ในกำมือของ “ครู” ที่จะเสกสรร ปั้นแต่ง ให้สวยงาม เลิศหรู หรือ บูดเบี้ยวไร้ค่า ครู จึงเป็นเสมือนเบ้าหล่อหลอม หรือ แม่พิมพ์ที่จะทำให้ศิษย์ ได้รับการพัฒนาให้เป็น คน เต็ม คน คือ ได้รับการพัฒนาทั้งร่างกาย และจิตใจ อย่างสมบูรณ์ แบบ



ภาระหน้าที่ของครู จึงเป็นภาระที่หนัก เพราะการสร้างคนให้เป็น คน โดยสมบูรณ์นั้น จึงมิใช่เป็นเพียง การสอนหนังสือให้อ่านออกเขียนได้ และมีความรอบรู้เท่านั้น แต่ เป็นภาระความรับผิดชอบ ที่ผูกพันด้วยจิตวิญญาณอย่างต่อเนื่อง ที่ต้องอาศัยความเพียรพยายาม วิริยะ อุตสาหะ อย่างเสมอต้นเสมอปลาย ครูที่ดี จึงต้องไม่เตรียม แค่การสอน แต่คนที่เป็นครูนั้น ต้องเตรียมทั้งกายและใจ ความคิด ประสบการณ์ ทั้งชีวิต เพื่ออุทิศ ทุ่มเทให้กับการสร้างคน เพื่อให้เป็น คนที่มีคุณภาพ และเมื่อคนมีคุณภาพ เราก็เชื่อมั่นว่า จะสร้างงานที่มีคุณภาพให้ชาติบ้านเมืองต่อไป





ครู สอนให้ศิษย์ มีความรู้ คือ รู้จัก คิดเป็น ทำเป็น แก้ปัญหาเป็น ซึ่ง เป็นการเรียนรู้อย่างถาวร

ครู ขัดเกลาให้ศิษย์ รู้จักระงับยับยั้ง ควบคุมอารมณ์ ที่จะไม่ประพฤติในทางเสื่อม รู้จักอดกลั้นเอาไว้ให้ได้อย่างหนักแน่น คงเส้นคงวา รู้จักการรับรู้อารมณ์คนอื่น และรู้จักการให้อภัย









ครู อบรมให้ศิษย์ มีคุณธรรม จริยธรรม คือ สามารถละเว้นความชั่ว มุ่งมั่นทำความดี มีความยุติธรรม เชื่อมั่นศรัทธาในกุศลธรรม และกฎแห่งกรรม



ครู ชี้นำให้ศิษย์ มีความเพียรพยายาม ที่จะกล้าเผชิญกับความยากลำบาก มีมานะ บากบั่น อดทน ไม่ย่อท้อต่ออุปสรรคทั้งปวง และ รู้จักแก้ไขปัญหาอย่างมีสติ



จากภาระสำคัญของผู้เป็นครู ดังกล่าว ครูจึงต้องมีกลวิธีที่แยบคายในการสอน ให้ศิษย์ ได้เกิดการ เรียนรู้ เข้าใจ เข้าถึง และพัฒนาตนเองได้อย่างต่อเนื่อง กลวิธีในการสอนที่บูรพาจารย์ เคยใช้กันมาตั้งแต่อดีต จนประสบผลสำเร็จ สามารถสร้างคนให้เป็นใหญ่เป็นโต มีหน้าที่การงาน ถึงขั้นเป็นผู้นำประเทศ มาแล้ว ก็คือ





ต้องแนะให้เขาทำ

ต้องนำให้เขาคิด

ต้องสาธิตให้เขาดู

ต้องให้เขาเรียนรู้ด้วยการปฏิบัติจริง

ต้องสลัดทิ้งความเคยชินเก่าๆ

ต้องทำตัวของเราให้เป็นแบบอย่าง



พระบรมราโชวาท พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชฯ ที่ได้พระราชทาน แก่เหล่าอธิการบดีทุกมหาวิทยาลัย มีใจความสำคัญตอนหนึ่งว่า ... จงอย่าผลิตบัณฑิตให้เป็นเพียง "คนเก่ง" เพราะความเก่งอย่างเดียวเป็นเพียงพลังแห่งความคิดและสร้างสรรค์ ... แต่จะต้องผลิตให้เป็น "คนดี" ด้วย เพราะความดีจะช่วยเตือนสติค้ำจุนเป็นหางเสือ ที่จะทำให้รู้ประพฤติดี ละเว้นความชั่ว ทำให้ความคิดและการสร้างสรรค์เป็นไปในทางที่ถูกที่ควรในปัจจุบันสังคมเรา โดยเฉพาะการผลิตบัณฑิต เราอาจจะบกพร่อง โดยไปเน้นแต่จะเอาคนเก่ง ที่ขาดสติสัมปชัณญะ จึงปรากฏพบเสมอว่า ผู้ที่มีความรู้และเก่งนั้น มีความบกพร่อง

อยู่ 4 ประการ คือ

1. เห็นแก่ตัว

2. เห็นผิดเป็นชอบ ทุจจริตโดยไม่สะดุ้งสะเทือน

3. ทะนงตน ข่มผู้อื่น เย่อหยิ่ง

4. ไม่รอบคอบใจร้อน

การสอนให้ศิษย์เป็นทั้ง "คนเก่ง คนดี" นั้น จึงเป็นหน้าที่โดยตรงของ ครูดังนั้นผู้เป็นครู จึงมิใช่ แค่เพียงสอนหนังสือให้เสร็จไปวันๆ เท่านั้น หัวใจสำคัญของคนที่เป็นครูก็คือ ต้องขัดเกลากิเลสให้กับศิษย์ เพราะนี้คือวิธีการบ่มเพาะ และสร้างคนให้เป็น คนเต็มคน ที่ดีที่สุด หากผู้ใดทำหน้าที่แค่เพียงสอนหนังสืออย่างเดียว โดยไม่ใส่ใจในความประพฤติของศิษย์ไม่ได้ชี้แนวทางในทางที่ถูก ที่ควร ในทางที่ดีที่งาม ให้กับศิษย์ เขาเหล่านั้นเป็นได้แค่เพียง ผู้รับจ้างขายวิชา มิใช่ ครู

กระจกเงา เรามี ไว้ส่องหน้า ให้รู้ว่า ดีเด่น เป็นไฉน

ครูอยากรู้ ตัวครู เป็นเช่นไร เชิญดูได้ เด็กที่ท่าน สั่งสอนมา




ศิษย์ดี ดูที่ครูดี : ครูดี ดูที่ศิษย์ดี

การเป็นพิธีกรที่ดี


การเป็นพิธีกรที่ดี
การเป็นพิธีกร
หน้าที่ของพิธีกร
พิธีกร (Master of Ceremony: MC) คือ ผู้ดำเนินการในพิธีต่าง ๆ เป็นบุคคลที่ทำหน้าที่ กำกับ / นำ / อำนวยการ ให้กิจกรรม รายการหรือ พิธีการต่าง ๆ ดำเนินการไปให้แล้วเสร็จ เรียบร้อยตามวัตถุประสงค์และกำหนดการที่วางไว้
1. เป็นผู้ให้ข้อมูลแก่ผู้ฟัง / ผู้ชม / ผู้เข้าร่วมพิธี โดยอย่างน้อยจะต้องมี ขบวนการดังต่อไปนี้ เช่น ตามลำดับ ในแต่ละกิจกรรม
1. แจ้งกำหนดการ
2. แจ้งรายละเอียดของรายการ
3. แนะนำผู้พูด ผู้แสดง
4. ผู้ดำเนินการอภิปรายและอื่น ๆ
2. เป็นผู้เริ่มกิจกรรม / งาน / พิธี / รายการ เช่น
1. กล่าวทักทาย ต้อนรับเชิญเข้าสู่งาน
2. เชิญเข้าสู่พิธี ดำเนินรายการต่าง ๆ แล้วแต่กิจกรรม
3. เชิญ เปิดงาน – ปิดงาน

3. เป็นผู้เชื่อมโยงกิจกรรม / งาน / พิธี / รายการต่าง ๆ เช่น
1. กล่าวเชื่อมโยงเหตุการณ์ตามลำดับ
2. แจ้งให้ทราบเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงกำหนดการ
3. แจ้งขอความร่วมมือ
4. กล่าวเชื่อมโยงรายการให้ชวนติดตาม
5. เป็นผู้ส่งเสริมจุดเด่นให้งานหรือกิจกรรมและบุคคลสำคัญในงานพิธี / รายการโดยพิธีกรจะต้องเป็นผู้ทำหน้าที่ในวาระที่เหมาะสม เช่น
6. กล่าวยกย่องสรรเสริญ ชื่นชมบุคคลสำคัญที่เกี่ยวข้องในพิธี
7. กล่าวถึงจุดเด่นของงานพิธีนั้น ๆ
8. กล่าวแจ้งผลรางวัลและการมอบรางวัล
4. เป็นผู้ที่สร้างสีสัน บรรยากาศของงาน / พิธี / รายการ เช่น
1. ให้ข้อมูลที่น่าสนใจเพิ่มเติมเป็นระยะ
2. มีมุขขำขึ้นเป็นระยะ ๆ
5. เป็นผู้เสริมสร้างความสมานฉันท์ในงาน / กลุ่มผู้ร่วมงาน เช่น 1. กล่าวละลายพฤติกรรม
2. กล่าวจูงใจให้รักสามัคคี
6. เป็นผู้เติมช่องว่างและแก้ปัญหาเฉพาะหน้าในงานพิธีต่าง ๆ เช่น
1. กล่าวชี้แจงกรณีบุคคลสำคัญไม่สามารถมาช่วยงานพิธีต่าง ๆ ได้
2. กล่าวทำความเข้าใจกรณีต้องเปลี่ยนแปลงกำหนดการ
โฆษกผู้ประกาศ คือ ผู้ที่ทำหน้าที่ในการสร้างความเข้าใจอันดีระหว่างหน่วยงาน องค์กร กับประชาชน เพื่อให้ได้รับความสนับสนุนร่วมมือ อันจะทำให้กิจการงานนั้น ๆ ประสบผลสำเร็จ ได้ตามวัตถุประสงค์ ด้วยวิธีการที่แตกต่างในแต่ละกิจกรรม เช่น
• การบอกกล่าว
• การชี้แจง
• การเผยแพร่
• แก้ความเข้าใจผิด
• การสำรวจประชามติ
บทบาทการทำหน้าที่ของโฆษกผู้ประกาศ โดยการใช้เครื่องมือด้านสื่อต่าง ๆ เช่น เอกสาร สื่อวิทยุโทรทัศน์ จัดเวทีประชาคม เดินสำรวจประชามติ เป็นกระบวนการประชาสัมพันธ์ ที่จะต้องดำเนินการต่อไป เช่นกระบวนการจัดกิจกรรมโดยใช้เวทีประชาคม ผู้ที่จะต้องทำหน้าที่ ในการควบคุม ดำเนินการให้ไปตามวัตถุประสงค์ในแต่ละครั้ง ผู้ที่เป็นพิธีกรในการดำเนินการรายการดังกล่าว จะต้องมีความเข้าใจ ในกระบวนการ และรู้หลักการวิธีการ ในการดำเนินการดังกล่าวนั้น ๆ เป็นภาระหน้าที่ของพิธีกรทั้งสิ้น ฉะนั้นจำเป็นที่จะต้อง ศึกษาบทบาทหน้าที่ของพิธีกรดังต่อไปนี้
พิธีกร คือ บุคลากรที่จะต้องพูดโดยใช้ความสามารถเฉพาะตนจากการฝึกฝนและศึกษาเท่านั้น ไม่ใช้สักแต่จะพูดอย่างเดียวไม่ มีความรู้ความเข้าใจในกิจกรรมที่จะต้องรับผิดชอบในด้านการพูดในตำแหน่งพิธีกร ฉะนั้น จะต้องมีการเตรียมตัวเตรียมใจก่อนจะเป็นการเริ่มต้นที่จะทำหน้าที่ในการเป็นพิธีกรในกิจกรรมต่าง ๆ พิธีกรหรือโฆษก อาจจะเป็นบุคคลคนเดียวกันในกิจกรรมนั้น ๆ สร้างความเข้าใจในข้อมูล ต่อเหตุการณ์ต่าง ๆ ต่อกิจกรรมต่าง ๆ ของข้อเท็จจริง ให้ทัศนะ ในโอกาสที่จะต้อง ปฏิบัติในแต่ละสถานการณ์ ในแต่ละกิจกรรม พิธีกร จะถูกกล่าวถึงมากในกรณีที่เป็นทางการ ส่วนโฆษกจะเป็นคำที่เรียกใช้ในส่วนที่ก่อนถึงเวลาดำเนินกิจกรรมต่าง ๆ หรือบางครั้งในท้องถิ่นชนบทจะเรียกรวมกันเช่น “ โฆษกพิธีกร ดำเนินการ ต่อไป ” ไม่ว่าจะเรียกว่าพิธีกรหรือโฆษกในกิจกรรมนั้น ๆ จะต้องเป็นการพูดคุยในที่ชุมชน นั่นคือต่อคนส่วนมากทุกครั้งเป็นการพูดในที่ชุมชน ซึ่งมีผู้เข้าร่วมจำนวนมาก หากพูดผิดก็จะทำให้เสื่อมเสียแก่ตนเองและองค์กร และถ้าหากทำดีพูดดีก็จะมีสง่าราศีแก่ตนเองเช่นกัน ดังสุภาษิต ของสุนทรภู่ที่ว่า
“ ถึงบางพูดพูดดีเป็นศรีศักดิ์ มีคนรักรสถ้อยอร่อยจิต
แม้พูดชั่วตัวตายทำลายมิตร จะชอบผิดอยู่ที่พูดให้ถูกทาง ”
ฉะนั้น คนที่เป็นพิธีกรที่ดี มีความสามารถจะต้องมีการฝึกฝนเรียนรู้ในหลักการ กลยุทธ์ในการพูดคุยต่าง ๆ ดังนี้ เช่น
• เตรียมพร้อม
• ซ้อมดี
• ท่าทีสง่า
• หน้าตาสุขุม
• ทักที่ประชุมอย่าวกวน
• เริ่มต้นให้โน้มน้าว
• เรื่องราวให้กระชับ
• จับตาที่ผู้ฟัง
• เสียงดังให้พอดี
• อย่าให้มีอ้ออ้า
• ยิ้มแย้มแจ่มใสตลอดเวลา
บุคคลที่จะทำหน้าที่ดังกล่าวจะต้องมีการเตรียมความพร้อมและเตรียมตัวในการทำหน้าที่ จะมี 2 กลุ่มคือ
1. รู้ตัวก่อนและจะต้องเตรียมตัว
2. ไม่รู้มาก่อน จะต้องไปใช้ปฏิภาณ ไหวพริบทุกคนทำได้

เส้นทางสู่การเป็น ..แอร์โฮสเตส


เส้นทางสู่การเป็น ..แอร์โฮสเตส
คุณสมบัติ


คุณสมบัติตามมาตรฐานที่บริษัทกำหนดไว้เราต้องมีเบสิกก็คือ


1. เราต้องมีอายุระหว่าง 20-26 ปี จบการศึกษาอย่างน้อยปริญญาตรี

2. ส่วนสูง 160 เซนติเมตรขึ้นไป น้ำหนักก็ต้องสัมพันธ์กับส่วนสูงด้วย

3. สุขภาพสมบูรณ์แข็งแรง และที่เราต้องเตรียมคือหัดว่ายน้ำ เพราะจะมีทดสอบให้ว่ายไปกลับ 50 เมตร

4. ภาษาอังกฤษต้องมีผลสอบโทอิคไม่ต่ำกว่า 600 คะแนน

5. การแต่งตัวในวันที่ไปสมัครควรแต่งให้สุภาพที่สุด ถ้าเป็นของสายการบินไทย ควรใส่เสื้อเชิ้ตแขนสั้น

สีขาว กระโปรงสีดำ รองเท้าสีดำหุ้มข้อสูง 2 นิ้วนะค๊ะ และก็อย่าใส่กระโปรงทรงยาว

6. เรื่องทรงผม ห้ามปล่อยผมเด็ดขาด ควรจะรวบผมหรือบางทีอาจจะไปเกล้าผมที่ร้านก็ได้ แต่ไม่ต้องเอา

เวอร์มากนะคะ พอดูสุภาพ หรืออาจจะแสกกลางแล้วรวบคลุมเน็ตก็ได้จร้า



ถ้ามีความสามารถภาษาอื่นด้วยบริษัทจะพิจารณาเป็นพิเศษ นอกจากนั้นต้องเตรียมเรื่องบุคลิกภาพด้วย ซึ่งเราต้องอาศัยถามรุ่นพี่ๆ ที่เป็นแอร์ฯได้ว่าต้องทำยังไงบ้าง รุ่นพี่ก็จะช่วยแนะนำว่าต้องแต่งตัวไปยังไง ให้เรียบร้อยดูดีแบบไหน” เมื่อผ่านมาตรฐานตามที่บริษัทกำหนด ก็กรอกใบสมัครซึ่งเป็นภาษาอังกฤษล้วนๆ ฉะนั้นจึงต้องเตรียมตัวด้านภาษามาให้ดี ขั้นต่อไปคือการสัมภาษณ์ โดยคณะกรรมการจำนวนหลายคนอาจจะทำให้เกิดความตื่นเต้นได้ ที่สำคัญควจะมีสมาธิและต้องเตรียมควมมพร้อมมาให้เยอะๆนะจ๊ะ







· การฝึกอบรม



“สัปดาห์แรกของเราพอเข้ามาปุ๊บต้องเทรนเรื่องเวชศาสตร์การบิน 5 วัน เรียนเรื่องยา การทำคลอด คือสามารถเป็นผู้ช่วยแพทย์ได้ในกรณีที่มีแพทย์อยู่ด้วย การปฐมพยาบาลเบื้องต้น การให้ยาท้องเสีย ท้องอืด หอบกับหืดต่างกันยังไง ลักษณะโรคต่างกันยังไง เทรนตรงนี้ 5 วัน พอเสร็จตรงนี้ก็จะถูกส่งมาฝึกทางด้านความปลอดภัยของแต่ละชนิดเครื่องบิน อุปกรณ์ฉุกเฉินอยู่ตรงไหน ฝึกดับไฟก็ต้องดับไฟจริงๆ ลงน้ำก็ใช้ชูชีพ ใช้ชูชีพยังไง อยู่ยังไง รักษาความอบอุ่นกันยังไง ในกรณีที่เราต้องดำรงชีวิตอยู่ในทะเล กระปำยา อุปกรณ์ฉุกเฉิน แล้ก็ค่อยฟังคำสั่งว่าเราจะไปด้วยกันยังไง ถึงตอนนี้เราจะต้องทำอย่างนี้ๆ นะ ขั้นตอนการให้บริการผู้โดยสาร ในส่วนของอาหารต้องเรียนแม้กระทั่งประโยชน์สมุนไพร โภชนาการ วิธีการประกอบอาหาร อาหารอย่างนี้ประกอบยังไง เพราะบางคนบางศาสนาผู้โดยสารอาจทานไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นมุสลิมหรือบางคนทานมังสวิรัติ ก็ต้องรู้ บางคนทานแป้งสาลีไม่ได้เพราะเลือดจะออกในกระเพาะ ก็จะมีอาหารอีกประเภทสำหรับคนประเภทนั้น รายละเอียดเยอะมาก ถ้าเป็นเครื่องดื่มอย่างเช่นในไวน์แต่ละชนิดต่างกันอย่างไร เหมาะกับอาหารประเภทไหน กิริยามารยาทก็ต้องฝึก เช่น ไม่ใช้การชี้นิ้วมือ แต่ใช้การผายมือแทน เพราะสุภาพกว่า ซึ่งตรงนี้คุณครูจะสอนมารยาทละเอียดมาก” การอบรมใช้เวลาทั้งสิ้น 8 สัปดาห์ เมื่อผ่านอบรมแล้วก็จะได้ขึ้นเครื่องจริงๆ เพื่อทดลองงาน เที่ยวบินแรกของสุตาคือพม่า เธอบอกตื่นเต้นมาก งานของเธอบนเที่ยวบินแรกคือการขึ้นไปช่วยงานบริการพี่ๆ แอร์โฮสเตสถือเป็นการสังเกตการณ์ เรียนรู้งาน ไฟลท์สังเกตการณ์จะมีทั้งหมด 4 ครั้งเมื่อบินเสร็จแล้วต้องกลับมาเข้าคลาสเรียนอีก ครูผู้อบรมจะให้แรกเปลี่ยนประสบการณ์กันว่าไปบินแล้วรู้สึกอย่างไง โดยคุณครูจะคอยเพิ่มเติมความรู้ให้ตลอด






· เส้นทางการทำงาน




หลายคนคงอยากรู้ว่าแอร์โฮสเตสทำงานกันอย่างไง สุตาเล่าให้ฟังว่าพวกเธอต้องมาก่อนไฟลท์ที่จะบิน 2 ชั่วโมงโดยมาพบกันที่สำนักงานกลาง ทุกคนต้องศึกษาว่าวันนี้จะบินไปที่นั่นที่นี่ เวลาต่างกันเท่าไหร่ ต้องรู้ว่ากัปตันครั้งนี้ชื่ออะไร พี่หัวหน้าแอร์คือใคร อินไฟลท์เมเนเจอร์เป็นใคร มีบริการแบบไหน มีเรื่องพิเศษอะไรบ้างมีผู้โดยสารที่จะต้องดูแลเป็นพิเศษยังไง อาหารที่เสิร์ฟ เครื่องดื่มวันนี้เป็นยังไง นอกจากนั้นทุกคนจะต้องดูวีดีโอเกี่ยวกับความปลอดภัยของเครื่องนั้นๆ ที่โดยสาร เพื่อทบทวนและมีการทดสอบกันอีกทีในห้องก่อนที่จะออกไปสนามบินด้วยกัน

“แล้วเราจะต้องมาถึงเครื่องก่อนประมาณ 1 ชั่วโมง พอไปยืนบนเครื่องคราวนี้จะเป็นเรื่องของการเตรียมการทุกคนที่ได้รับหน้าที่ว่าใครจะต้องประจำอยู่ ณ ตรงไหน ตรวจเช็กอุปกรณ์ความปลอดภัยของตัวเองให้พร้อม เปลี่ยนชุดเตรียมให้บริการ เช็กอุปกรณ์ทุกอย่าง อุปกรณ์ความปลอดภัยครบมั้ย ห้องน้ำเป็นยังไง อาหารเป็นยังไง อาหารพิเศษของผู้โดยสารที่ต้องดูแลพิเศษมาหรือยัง พอพร้อมแล้วพี่หัวหน้าแอร์ฯจะบอกว่าเตรียมรับผู้โดยสารได้เลย ทุกคนก็จะมายืนประจำเพื่อต้อนรับผู้โดยสาร” ตลอดทั้งเที่ยวบิน พวกเธอก็ต้องคอยดูแลผู้โดยสารซึ่งใช้กำลังเยอะทีเดียว ทั้งเข็นรถอาหาร เสิร์ฟอาหาร เครื่องดื่ม ดูแลความเรียบร้อย เรียกว่าต้องเดินตลอดการเดินทาง ทำงานติดต่อกันหลายชั่วโมง ฉะนั้นพวกเธอจึงต้องดูแลสุขภาพร่างกายให้แข็งแรงเสมอ “ชั่วโมงบินมันนาน ตัวเราเองก็ต้องพักผ่อนให้เพียงพอก่อน ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องความดันอากาศ อากาศที่เปลี่ยนแปลง แล้วเราต้องเดินทางอยู่บ่อยๆ เวลานอนก็ไม่เหมือนคนที่ทำงานประจำ ฉะนั้นเราต้องดูแลตัวเองดีๆ ถ้าไม่ไหวไม่สบาย หรือรู้ตัวว่าตัวเองเป็นหวัด ถ้าเป็นหวัดหูอื้อ ก็จะไม่ไป แต่ถ้ายังขืนขึ้นไปนี่อาการหูบล็อกมันอันตราย จะไม่ไปเลยนะคะ เพราะว่านอกจากไม่ดีกับตัวเองยังไปทำให้เพื่อนร่วมงานเหนื่อยขึ้นอีก ถามว่าเหนื่อยมั้ย ชินแล้ว พอกลับมาเราก็พักผ่อนเต็มที่ ทางบริษัทเขาก็จัดวันหยุดให้เรา ในการที่จะทำการบินแต่ละครั้งนี่บริษัทคำนวณไว้แล้ว เขาจะมีอัตราค่าความเหนื่อยให้ว่าเราจะต้องพักผ่อนเท่านี้เพื่อความปลอดภัย เพราะฉะนั้นทุกอย่างมันถูกควบคุมด้วยตัวของมันเองอยู่แล้ว เราก็ทำหน้าที่ควบคุมตัวเราเองอีกที เพราะบางทีเราไปในประเทศที่ร้อนจัดแล้วไปประเทศที่เย็น เราก็ต้องเตรียมตัว”

การสอบเป็นผู้พิพากษา


การสอบเป็นผู้พิพากษา
คุณสมบัติของผู้สมัครสอบคัดเลือก

ต้องมีคุณสมบัติ และไม่มีลักษณะต้องห้ามดังนี้
1. มีสัญชาติไทยโดยการเกิด
2. ผู้สมัครสอบคัดเลือกหรือผู้สมัครทดสอบความรู้ ต้องมีอายุไม่ต่ำกว่ายี่สิบห้าปีบริบูรณ์ ผู้สมัครเข้ารับการคัดเลือกพิเศษ ต้องมีอายุไม่ต่ำกว่าสามสิบห้าปีบริบูรณ์
3. เป็นผู้เลื่อมใสในการปกครองระบอบประชาธิปไตยตามรัฐธรรมนูญด้วยความบริสุทธิ์ใจ
4. เป็นสามัญสมาชิกแห่งเนติบัณฑิตสภา
5. ไม่เป็นผู้มีความประพฤติเสื่อมเสียหรือบกพร่องในศีลธรรมอันดี
6. ไม่เป็นผู้มีหนี้สินล้นพ้นตัว
7. ไม่เป็นผู้อยู่ระหว่างถูกสั่งให้พักราชการหรือถูกสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อน ตามพระราชบัญญัตินี้หรือตามกฎหมายอื่น
8. ไม่เป็นผู้เคยถูกลงโทษไล่ออก ปลดออก หรือให้ออกจากราชการ รัฐวิสาหกิจหรือหน่วยงานอื่นของรัฐ
9. ไม่เป็นผู้เคยต้องรับโทษจำคุกโดยคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุก เว้นแต่เป็นโทษสำหรับความผิดที่ได้กระทำโดยประมาท หรือความผิดลหุโทษ
10. ไม่เป็นคนไร้ความสามารถ คนเสมือนไร้ความสามารถ คนวิกลจริต หรือจิตฟั่นเฟือน ไม่สมประกอบ หรือมีกายหรือจิตใจไม่เหมาะสมที่จะเป็นข้าราชการตุลาการหรือ เป็นโรคที่ระบุไว้ในระเบียบ ก.ต. และ
11. เป็นผู้ที่ผ่านการตรวจร่างกายและจิตใจโดยคณะกรรมการแพทย์จำนวนไม่น้อยกว่าสามคน ซึ่ง ก.ต. กำหนด และ ก.ต. ได้พิจารณารายงานของคณะกรรมการแพทย์แล้วเห็นสมควรรับสมัครได้

หลักฐานในการสมัครสอบ

1. ภาพถ่ายปริญญานิติศาสตร์บัณฑิต (แสดงต้นฉบับด้วย)
2. ภาพถ่ายประกาศนียบัตรของสำนักอบรมศึกษากฎหมาย ฯ (แสดงต้นฉบับด้วย)
3. สำเนาทะเบียบบ้าน หรือ บัตรประจำตัวประชาชน (ถ่ายเอกสารทั้งสองหน้าในแผ่นเดียวกัน)(แสดงต้นฉบับด้วย)
4. หนังสือรับรองการประกอบวิชาชีพทางกฎหมาย (กรณีเป็นทนายความ ให้นำหนังสือรับรองการเป็นทนายความจากสภาทนายความมายื่นด้วย)
5. ใบรับรองสามัญสมาชิกแห่งเนติบัณฑิตยสภา (ออกให้ไม่เกิน 6 เดือน)
6. รูปถ่ายขนาด 1 นิ้ว ถ่ายไว้ไม่เกิน 6 เดือน จำนวน 4 รูป (เขียนชื่อ-สกุลด้านหลัง)
7. เงินค่าธรรมเนียมการสอบ 100 บาท
8. เงินค่าตรวจร่างกาย 600 บาท (จ่ายวันไปตรวจร่างกาย)

กรณีเคยสมัครแล้วและมีสิทธิสอบใช้หลักฐานเฉพาะใบสมัครและข้อ 5, 6, 7 และ 8

การสอบคัดเลือก มีการสอบข้อเขียน 3 วัน

วันที่หนึ่ง สอบวิชากฎหมายแพ่งและพาณิชย์ กฎหมายอาญา จำนวน 10 ข้อ เวลา 4 ชม. คะแนนเต็ม 100 คะแนน

วันที่สอง สอบวิชากฎหมายลักษณะพยาน จำนวน 3 ข้อ วิชากฎหมายพระธรรมนูญ ศาลยุติธรรมกับกฎหมายว่าด้วยการจัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญา ในศาลแขวง จำนวน 1 ข้อ และให้เลือกสอบในลักษณะวิชา กฎหมายล้มละลาย กฎหมายภาษีอากร กฎหมายแรงงาน กฎหมายว่าด้วยการจัดตั้งศาลเยาวชนและ ครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว กฎหมายปกครอง กฎหมาย ทรัพย์สินทางปัญญา หรือกฎหมายการค้าระหว่างประเทศวิชาใดวิชาหนึ่ง จำนวน 2 ข้อ รวมจำนวนข้อสอบทั้งหมด 6 ข้อ เวลา 2 ชั่วโมงครึ่ง คะแนนเต็ม 60 คะแนน และวิชาภาษาอังกฤษ เวลา 1 ชั่วโมงครึ่ง คะแนนเต็ม 10 คะแนน สำหรับลักษณะวิชาที่ให้เลือกสอบ ผู้สมัครต้องแสดงความจำนงว่าจะสอบลักษณะ วิชาใดในวันสมัครสอบ

วันที่สาม สอบวิชากฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง กฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา จำนวน10 ข้อ เวลา 4 ชั่วโมง คะแนนเต็ม 100 คะแนน
การสอบปากเปล่า เนื้อหาครอบคลุมลักษณะวิชาที่สอบข้อเขียน ตามแต่คณะ อนุกรรมการสอบฯจะเห็นสมควรกำหนดเวลาประมาณคนละ 15 นาที คะแนนเต็ม 100 คะแนน

เกณฑ์ที่จะได้บรรจุเป็นข้าราชการตุลาการ

ผู้สมัครต้องได้คะแนนสอบข้อเขียนไม่ต่ำกว่าร้อยละ 50 ของคะแนนสอบข้อเขียนทั้งหมด จึงมีสิทธิเข้าสอบปากเปล่าและต้องได้คะแนนสอบข้อเขียนกับสอบปากเปล่ารวมกันไม่น้อยกว่า ร้อยละ 60 ของคะแนน ทั้งสองอย่างรวมกัน

วิชาชีพทางกฎหมายที่ ก.ต. รับรอง

1. ทนายความ
2. จ่าศาล,รองจ่าศาล
3. ข้าราชการ พนักงานเทศบาลหรือลูกจ้างส่วนราชการปฏิบัติงานในหน้าที่นิติกร
4. เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์
5. เจ้าพนักงานบังคับคดี
6. พนักงานคุมประพฤติ
7. อัยการ
8. นายทหารเหล่าพระธรรมนูญ
9.อาจารย์นิติศาสตร์ในมหาวิทยาลัยของรัฐ
10. พนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจ
11.เจ้าหน้าที่สืบสวนสอบสวน ป.ป.ป.
12. ลูกจ้างกระทรวงยุติธรรมทำหน้าที่พนักงานคุมประพฤติ หรือพนักงานบังคับคดี
13. นักวิชาการตรวจเงินแผ่นดิน (ส.ต.ง.)
14.ข้าราชการรัฐสภาสามัญปฏิบัติงานในหน้าที่นิติกร
15.พนักงานรัฐวิสาหกิจหรือพนักงานในสถาบันการเงินที่ ก.ต.รับรอง ปฏิบัติงานในหน้าที่นิติกร

นิติกรในสถาบันการเงินที่ ก.ต. รับรองไปแล้ว

1. ตำแหน่งเจ้าหน้าที่กฎหมาย ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
2. ตำแหน่งนิติกร ธนาคารกรุงเทพพาณิชยการ จำกัด (มหาชน)
3. ตำแหน่งเสมียน ธนาคารไทยทนุ จำกัด
4. ตำแหน่งผู้ช่วยนักวิจัย ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด
5. ตำแหน่งงานนิติกรรม ธนาคารอาคารสงเคราะห์
6. ตำแหน่งนิติกร ธนาคารทหารไทย จำกัด
7. ตำแหน่งผู้ช่วยผู้จัดการฝ่าย ฝ่ายกฎหมายธุรกิจหลักทรัพย์
บริษัท เงินทุนหลักทรัพย์ภัทรธนกิจ จำกัด (มหาชน)
8. ตำแหน่งนิติกร บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์คาเธ่ย์ ไฟน์แนนซ์ จำกัด (มหาชน)
9. ตำแหน่งพนักงานชั้นกลาง แผนกธุรกรรมกฎหมาย
10. บริษัทเงินทุนเอกธนกิจ จำกัด (มหาชน)
11. ตำแหน่งนิติกรธนาคารนครธน จำกัด (มหาชน)
12. เจ้าหน้าที่นิติกรรมสัญญา บริษัท เงินทุนภัทรธนกิจ จำกัด (มหาชน)
13. ผู้ช่วยผู้จัดการ ฝ่ายกฎหมาย บริษัท เงินทุนหลักทรัพย์เอ็มซีซี จำกัด (มหาชน)
14. เจ้าหน้าที่เร่งรัดหนี้ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน)
15. นิติกรอาวุโส สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์ และตลาดหลักทรัพย์

วันจันทร์ที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2553

วันสงกรานต์


สงกรานต์ เป็นประเพณีปีใหม่ของประเทศไทย ลาว กัมพูชา พม่า ชนกลุ่มน้อยชาวไตแถบเวียดนามและมณฑลยูนนานของจีน ศรีลังกาและทางตะวันออกของประเทศอินเดีย สงกรานต์เป็นคำสันสกฤต หมายถึงการเคลื่อนย้าย ซึ่งเป็นการอุปมาถึงการเคลื่อนย้ายของการประทับในจักรราศี หรือคือการเคลื่อนขึ้นปีใหม่ในความเชื่อของไทยและบางประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ชาวต่างประเทศเรียกว่า "สงครามน้ำ"



ตามหลักแล้วเทศกาลสงกรานต์ถูกกำหนดตามการคำนวณโดยหลักเกณฑ์ในคัมภีร์สุริยยาตร์ โดยวันแรกของเทศกาลซึ่งเป็นวันที่พระอาทิตย์ยกเข้าสู่ราศีเมษ (ย้ายจากราศีมีนไปราศีเมษ) เรียกว่า "วันมหาสงกรานต์" วันถัดมาเรียกว่า "วันเนา" และวันสุดท้ายซึ่งเป็นวันเปลี่ยนจุลศักราชและเริ่มใช้กาลโยคประจำปีใหม่ เรียกว่า "วันเถลิงศก" จากหลักการข้างต้นนี้ ทำให้ปัจจุบันเทศกาลสงกรานต์มักตรงกับวันที่ 14-16 เมษายน (ยกเว้นบางปี เช่น พ.ศ. 2551 และ พ.ศ. 2555 ที่สงกรานต์กลับมาตรงกับวันที่ 13-15 เมษายน) อย่างไรก็ตาม ปฏิทินไทยในขณะนี้กำหนดให้เทศกาลสงกรานต์ตรงกับวันที่ 13-15 เมษายน ของทุกปี และเป็นวันหยุดราชการ







สงกรานต์ เป็นประเพณีเก่าแก่ของไทยซึ่งสืบทอดมาแต่โบราณคู่มากับประเพณีตรุษ จึงมีการเรียกรวมกันว่า ประเพณีตรุษสงกรานต์ หมายถึงประเพณีส่งท้ายปีเก่า และต้อนรับปีใหม่ คำว่าตรุษเป็นภาษาทมิฬ แปลว่าการสิ้นปี



พิธีสงกรานต์ เป็นพิธีกรรมที่เกิดขึ้นในสมาชิกในครอบครัว หรือชุมชนบ้านใกล้เรือนเคียง แต่ปัจจุบันได้เปลี่ยนไปสู่สังคมในวงกว้าง และมีแนวโน้มที่จะเปลี่ยนทัศนคติ และความเชื่อไป ในความเชื่อดั้งเดิมใช้สัญลักษณ์เป็นองค์ประกอบหลักในพิธี ได้แก่ การใช้น้ำเป็นตัวแทน แก้กันกับความหมายของฤดูร้อน ช่วงเวลาที่พระอาทิตย์เคลื่อนเข้าสู่ราศีเมษ ใช้น้ำรดให้แก่กันเพื่อความชุ่มชื่น มีการขอพรจากผู้ใหญ่ การรำลึกและกตัญญูต่อบรรพบุรุษที่ล่วงลับ ในชีวิตสมัยใหม่ของสังคมไทยเกิดประเพณีกลับบ้านในเทศกาลสงกรานต์ นับวันสงกรานต์เป็นวันครอบครัว ในพิธีเดิมมีการสรงน้ำพระที่นำสิริมงคล เพื่อให้เป็นการเริ่มต้นปีใหม่ที่มีความสุข ปัจจุบันมีพัฒนาการและมีแนวโน้มว่าได้มีการเสริมจนคลาดเคลื่อนบิดเบือนไป เกิดการประชาสัมพันธ์ในเชิงการท่องเที่ยวว่าเป็น ‘Water Festival’ เป็นภาพของการใช้น้ำเพื่อแสดงความหมายเพียงประเพณีการเล่นน้ำ



การที่สังคมเปลี่ยนไป มีการเคลื่อนย้ายที่อยู่เข้าสู่เมืองใหญ่ และถือวันสงกรานต์เป็นวัน "กลับบ้าน" ทำให้การจราจรคับคั่งในช่วงวันก่อนสงกรานต์ วันแรกของเทศกาล และวันสุดท้ายของเทศกาล เกิดอุบัติเหตุทางถนนสูง นับเป็นปรากฏการณ์ทางสังคมที่เกิดขึ้นตามการเปลี่ยนแปลงหลายด้านของสังคม นอกจากนี้ เทศกาลสงกรานต์ยังถูกใช้ในการส่งเสริมการท่องเที่ยว ทั้งต่อคนไทย และต่อนักท่องเที่ยวต่างประเทศ









กิจกรรมในวันสงกรานต์


การทำบุญตักบาตร ถือว่าเป็นการสร้างบุญสร้างกุศลให้ตัวเอง และ อุทิศส่วนกุศลนั้นแก่ผู้ล่วงลับไปแล้ว การทำบุญแบบนี้มักจะเตรียมไว้ล่วงหน้า นำอาหารไปตักบาตรถวายพระภิกษุที่ศาลาวัด ซึ่งจัดเป็นที่รวมสำหรับทำบุญ ในวันนี้หลังจากที่ได้ทำบุญเสร็จแล้ว ก็จะมีการก่อพระทรายอันเป็นประเพณีด้วย



การสรงน้ำพระการรดน้ำ เป็นการอวยพรปีใหม่ให้กันและกัน น้ำที่รดมักใช้น้ำหอมเจือด้วยน้ำธรรมดา


การสรงน้ำพระจะรดน้ำพระพุทธรูปที่บ้านและที่วัด และบางที่จัด สรงน้ำพระสงฆ์ ด้วย



การรดน้ำผู้ใหญ่ คือการไปอวยพรให้ผู้ใหญ่ที่เคารพนับถือ ครูบาอาจารย์ ท่านผู้ใหญ่มักจะนั่งลงแล้วผู้ที่รดก็จะเอาน้ำหอมเจือกับน้ำรดที่มือท่าน ท่านจะให้ศีลให้พรผู้ที่ไปรด ถ้าเป็นพระก็จะนำผ้าสบงไปถวายให้ท่านผลัดเปลี่ยนด้วย หากเป็นฆราวาสก็จะหาผ้าถุง ผ้าขาวม้าไปให้



การดำหัว ก็คือการรดน้ำนั่นเอง แต่เป็นคำเมืองทางภาคเหนือ การดำหัวเรียกกันเฉพาะการรดน้ำผู้ใหญ่ที่เราเคารพนับถือ ผู้สูงอายุ คือการขอขมาในสิ่งที่ได้ล่วงเกินไปแล้ว หรือ การขอพรปีใหม่จากผู้ใหญ่ ของที่ใช้ในการดำหัวส่วนมากมีผ้าขนหนู มะพร้าว กล้วย และ ส้มป่อย



การปล่อยนกปล่อยปลา ถือเป็นการล้างบาปที่ทำไว้ เป็นการสะเดาะเคราะห์ร้ายให้มีแต่ความสุขความสบายในวันขึ้นปีใหม่


การนำทรายเข้าวัด ทางภาคเหนือนิยมขนทรายเข้าวัดเพื่อเป็นนิมิตโชคลาภ ให้มีความสุขความเจริญ เงินทองไหลมาเทมาดุจทรายที่ขนเข้าวัด








ข้อมูลจาก http://th.wikipedia.org

การควบคุมมอเตอร์เบื้องต้น


มอเตอร์ เป็นเครื่องกลเพื่อเปลี่ยนพลังงานไฟฟ้าเป็นพลังงานกล โดยการเหนี่ยวนำแม่เหล็กไฟฟ้า ด้วยส่วนหมุนได้ที่พันด้วยขดลวด

เป็นกระบวนการย้อนกลับของ ไดนาโม หรือ เครื่องกำเนิดไฟฟ้า

มักเป็นส่วนประกอบสำคัญใน เครื่องกล เครื่องจักรกลอุตสาหกรรม เครื่องใช้ไฟฟ้าในครัวเรือน เช่น เครื่องสูบน้ำ เครื่องอัดลม พัดลม เครื่องลำเลียง เครื่องเล่นแผ่นดิสก์ ฯลฯ

มอเตอร์ลากจูง (Traction motor) ซึ่งใช้ในยานยนต์และรถไฟ สามารถหมุนได้ทั้งสองทิศทาง

มอเตอร์ ต้องต่อวงจรไฟฟ้าเข้ากับ แหล่งกำเนิดไฟฟ้า เช่น แบตเตอรี่ (สำหรับ มอเตอร์กระแสตรง ในเครื่องกลหรือยานยนต์) หรือการจ่ายกระแสไฟฟ้าจาก โรงงานไฟฟ้า (สำหรับ มอเตอร์กระแสสลับ ในเครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้าน)

มอเตอร์ขนาดเล็กที่สุด ที่ใช้งานได้จริงในปัจจุบัน ได้แก่ มอเตอร์ใน นาฬิกาข้อมือไฟฟ้า มอเตอร์ขนาดเล็กที่สุด ที่อยู่ระหว่างพัฒนา ได้แก่ มอเตอร์นาโน (เล็กกว่าเส้นผม 300 เท่า) มอเตอร์ขนาดกลางมาตรฐานสูง มักเป็นส่วนประกอบในเครื่องจักรกลอุตสาหกรรม มอเตอร์ขนาดใหญ่ที่สุด ได้แก่ มอเตอร์คอมเพรสเซอร์ในท่อขับระวางของเรือเดินสมุทร (ใช้กำลังไฟนับพัน กิโลวัตต์)

หลักการทางฟิสิกส์ ในการผลิตพลังงานกลด้วยการเหนี่ยวนำแม่เหล็กไฟฟ้า เป็นที่รู้จักกันเมื่อตอนต้น ค.ศ. 1821

มอเตอร์ ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของมนุษย์มาตลอด คริสต์ศตวรรษที่ 19 แต่เมื่อเครื่องกลใช้มอเตอร์มากขึ้น ปริมาณความต้องการพลังงานไฟฟ้าก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน

เนื้อหา [ซ่อน]
1 ประเภท
1.1 เปรียบเทียบ
1.2 ความสามารถรอบบิด
2 หลักการทำงาน
3 ประวัติ
3.1 มอเตอร์แท้ตัวแรก
4 มอเตอร์กระแสตรง
4.1 มอเตอร์กระแสตรงมีแปรงถ่าน
4.2 มอเตอร์กระแสตรงไร้แปรงถ่าน
5 มอเตอร์ยูนิเวอร์แซล
6 มอเตอร์กระแสสลับ
6.1 ส่วนประกอบ
7 มอเตอร์รอบบิด
8 แหวนลื่น
9 มอเตอร์สเตป
10 มอเตอร์ลีเนียร์
11 เครื่องกลเหนี่ยวนำสองทาง
12 เครื่องกลเหนี่ยวนำทางเดียว
13 มอเตอร์นาโน
14 ประสิทธิภาพ
15 วัสดุ
16 มาตรฐานมอเตอร์
17 อ้างอิง
18 แหล่งค้นคว้าภายนอก
19 ดูเพิ่ม

วันพ่อแห่งชาติ


5 ธันวาคม ของทุกปี เป็นวันคล้ายวันพระราชสมภพ ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทางราชการได้กำหนดให้เป็นวันหยุดราชการหนึ่งวัน เพื่อให้ประชาชนชาวไทย ได้ร่วมกันเฉลิมฉลองในวันเฉลิมพระชนมพรรษา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และ ถือเป็นวันพ่อแห่งชาติ อีกวันหนึ่งด้วย วันเฉลิมพระชนมพรรษา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มีความเป็นมาของวันสำคัญ คือ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ทรงพระราชสมภพเมื่อ วันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2470 ณ โรงพยาบาล เมาท์ ออเบิร์น นครบอสตัน สหรัฐอเมริกา โดยนายแพทย์วิทท์มอร์ เป็นผู้ถวายการประสูติ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จฯขึ้นเถลิงถวัลย์ราชสมบัติเป็นรัชกาลที่ 9 แห่งบรมจักรีวงศ์ กรุงรัตนโกสินทร์ ทรงประกอบพระราชกรณียกิจและเจริญพระราชจริยาวัตรเป็นเอนกประการ จำเนียรกาลผ่านมาถึงปัจจุบันที่สุดจะพรรณนาให้ครบถ้วนได้ ท่ามกลางมหาสมาคมวันพระราชพิธีพระบรมราชาภิเษก ทรงมีกระแสพระราชดำรัสที่พสกนิกรทุกคนยังจดจำได้ "เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม" อันคำว่าโดย "ธรรม" นั้น ทรงหมายถึง ธรรมอันล้ำเลิศที่เรียกว่า "ทศพิธราชธรรม" หรือที่เรียกกันโดยสามัญว่า "ราชธรรม 10 ประการ" ราชธรรม 10 ประการนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงยึดมั่นทรงปฎิบัติโดยเคร่งครัด และส่งผลถึงพสกนิกรทั่วพระราชอาณาจักรนับเป็นพระมหากรุณาธิคุณเหนือเกล้าฯ

วันพ่อแห่งชาติ ได้จัดให้มีขึ้นครั้งแรกเมื่อวันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2523 โดยคุณหญิงเนื้อทิพย์ เสมรสุต นายกสมาคมผู้อาสาสมัครและช่วยการศึกษาเป็นผู้ริ่เริ่ม หลักการและเหตุผลในการจัดตั้งวันพ่อ โดยที่พ่อเป็นผู้มีพระคุณที่มีบทบาทสำคัญ ต่อครอบครัวและสังคม สมควรที่ผู้เป็นลูกจะเคารพเทิดทูนตอบแทนพระคุณด้วยความกตัญญู และสมควรที่สังคมจะยกย่องให้เกียรติรำลึกถึงผู้เป็นพ่อ จึงถือเอาวันที่ 5 ธันวาคม ของทุกปีซึ่งเป็นวันเฉลิมพระชนมพรรษาเป็น "วันพ่อแห่งชาติ" ด้วยพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่ทรงมีต่อพสกนิกรชาวไทยอย่างนานัปการ ทรงเป็นพระราชบิดาของพระราชโอรสและพระราชธิดา ทรงรักใคร่และห่วงใยตั้งแต่พระเยาว์จนถึงปัจจุบัน รวมทั้งพระเจ้าหลานเธอทุกพระองค์ต่างซาบซึ้งและปลาบปลื้มในพระมหากรุณาธิคุณอย่างมิรู้ลืม พระองค์ทรงเป็น "พ่อ" ตัวอย่างของปวงชนชาวไทยที่เปี่ยมล้นด้วยพระเมตตากรุณา ทรงห่วงใยอย่างหาที่เปรียบมิได้

กิจกรรมที่ควรปฎิบัติในวันเฉลิมพระชนมพรรษาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
1.ประดับธงชาติที่อาคารบ้านเรือน
2.จัดพิธีศาสนสงฆ์ ทำบุญใส่บาตร อุทิศเป็นพระราชกุศล น้อมเกล้าฯ ถวายพระพรชัยมงคล
3.จัดกิจกรรมเกี่ยวกับการบำเพ็ญสาธารณประโยชน์เพื่อถวายเป็นพระราชกุศล

วัตถุประสงค์ของการจัดวันพ่อแห่งชาติ
1. เพื่อเทิดทูนพระเกียรติคุณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
2. เพื่อเทิดทูนพระคุณของพ่อ และยกย่องบทบาทของพ่อที่มีต่อครอบครัวและสังคม
3. เพื่อให้ลูกได้แสดงความกตัญญูต่อพ่อ
4. เพื่อให้ผู้เป็นพ่อได้สำนึกในหน้าที่และความรับผิดชอบของตน

วันมาฆบูชา



วันมาฆบูชา ได้รับการยกย่องเป็นวันสำคัญทางพระพุทธศาสนาเนื่องจากเหตุการณ์สำคัญที่เกิดขึ้นเมื่อ 2,500 กว่าปีก่อน องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงโอวาทปาฏิโมกข์ท่ามกลางที่ประชุมมหาสังฆสันนิบาตครั้งใหญ่ในพระพุทธศาสนา โดยมีเหตุการณ์สำคัญเกิดขึ้นพร้อมกัน 4 ประการ คือ พระสงฆ์สาวกที่มาประชุมพร้อมกันทั้ง 1,250 รูปนั้นได้มาประชุมกันยังวัดเวฬุวันโดยมิได้นัดหมาย, พระสงฆ์ที่มาประชุมทั้งหมดต่างล้วนเป็น "เอหิภิกขุอุปสัมปทา" หรือผู้ได้รับการอุปสมบทจากพระพุทธเจ้าโดยตรง, พระสงฆ์ทั้งหมดที่มาประชุมล้วนเป็นพระอรหันต์ผู้ทรงอภิญญา 6, และวันดังกล่าวตรงกับวันเพ็ญมาฆปุรณมีดิถี ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 3 ดังนั้นจึงมีคำเรียกวันนี้อีกคำหนึ่งว่า "วันจาตุรงคสันนิบาต" หรือ วันที่มีการประชุมพร้อมด้วยองค์ 4[3][4]

เดิมนั้นไม่มีการประกอบพิธีมาฆบูชาในประเทศพุทธเถรวาท จนมาในสมัยของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 4) พระองค์ได้ทรงปรารภถึงเหตุการณ์ครั้งพุทธกาลในวันเพ็ญเดือน 3 ดังกล่าวว่า เป็นวันที่เกิดเหตุการณ์สำคัญยิ่ง ควรมีการประกอบพิธีทางพระพุทธศาสนาเพื่อเป็นที่ตั้งแห่งความศรัทธาเลื่อมใส จึงมีพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าฯ ให้จัดการพระราชกุศลมาฆบูชาขึ้น[5] โดยการประกอบพระราชพิธีคงคล้ายกับวันวิสาขบูชา คือมีการบำเพ็ญพระราชกุศลต่าง ๆ มีการพระราชทานจุดเทียนตามประทีปเป็นพุทธบูชาในวัดพระศรีรัตนศาสดาราม และพระอารามหลวงต่าง ๆ เป็นต้น โดยในช่วงแรกพิธีมาฆบูชาคงเป็นการพระราชพิธีภายใน ยังไม่แพร่หลายทั่วไป จนต่อมาความนิยมจัดพิธีมาฆบูชาจึงได้ขยายออกไปทั่วราชอาณาจักร

ปัจจุบันวันมาฆบูชาได้รับการประกาศให้เป็นวันหยุดราชการในประเทศไทย[1] โดยพุทธศาสนิกชนทั้งพระบรมวงศานุวงศ์[6] พระสงฆ์ และประชาชน จะมีการประกอบพิธีต่าง ๆ เช่น การตักบาตร การฟังพระธรรมเทศนา การเวียนเทียน เป็นต้น เพื่อเป็นการบูชารำลึกถึงพระรัตนตรัยและเหตุการณ์สำคัญดังกล่าว ที่ถือได้ว่าเป็นวันที่พระพุทธเจ้าทรงประทานโอวาทปาฏิโมกข์[7] ซึ่งกล่าวถึงหลักคำสอนอันเป็นหัวใจของพระพุทธศาสนา ได้แก่ การไม่ทำความชั่วทั้งปวง การบำเพ็ญความดีให้ถึงพร้อม และการทำจิตของตนให้ผ่องใส เพื่อเป็นหลักปฏิบัติของพุทธศาสนิกชนทั้งมวล

นอกจากนี้ ในปี พ.ศ. 2549 รัฐบาลไทยได้ประกาศให้วันมาฆบูชา ให้เป็น "วันกตัญญูแห่งชาติ" เนื่องจากปัจจุบันสังคมไทยวัยรุ่นสาวมักจะเสียตัวในวันวาเลนไทน์หลายหน่วยงานจึงพยายามรณรงค์ให้วันมาฆบูชาเป็นวันแห่งความรัก (อันบริสุทธิ์) แทน

สำหรับในปี พ.ศ. 2553 นี้ วันมาฆบูชาจะตรงกับ วันอาทิตย์ที่ 28 กุมภาพันธ์ ตามปฏิทินสุริยคติ

การใช้โทรศัพท์มือถือ


ผลกระทบจากการใช้โทรศัพท์มือถือ
Tuesday, 23 August 2005 12:20 -- ทั่วไป
กรุงเทพฯ--23 ส.ค.--สภาสมาคมวิทยาศาสตร์แห่งประเทศไทย
รศ.ดร.ประสิทธิ์ ทีฆพุฒิ ประธานสภามนตรี สสภาสมาคมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (สสวทท.) กล่าวว่า ในระหว่างงานสัปดาห์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ 23-28 สิงหาคม ณ อิมแพค เมืองทองธานี สสวทท. ได้ร่วมกับสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) จัดนิทรรศการมนุษย์และสิ่งรอบตัว และหนึ่งใน 4 ของหัวข้อที่นำเสนอ ได้แก่การสร้างจิตสำนึกการป้องกันภัยรอบตัวเรา ในที่นี้ จะได้มีการนำเสนอข้อมูล เรื่อง ผลกระทบจากการใช้โทรศัพท์มือถือ จากสมาคมพิษวิทยา เพื่อให้ผู้สนใจนำไปเผยแพร่ด้วย

ปัจจุบันการใช้โทรศัพท์มือถือเป็นอุปกรณ์สื่อสารสำคัญในชีวิตประจำวันของประชากรมากกว่า 1.4 พันล้านคนทั่วโลก ซึ่งในประเทศไทยมีผู้ใช้มากกว่า 20 ล้านคน และมีแนวโน้มที่จะเพิ่มมากขึ้น ซึ่งการใช้โทรศัพท์มือถือมีประโยชน์ทำให้การติดต่อสื่อสารด้วยวาจา พร้อมทั้งการส่งข้อมูลเป็นไปได้อย่างสะดวก รวดเร็ว ช่วยให้ความเป็นอยู่ของคนไทยและเศรษฐกิจของประเทศพัฒนาไปในทางที่ดีขึ้น แต่อย่างไรก็ตามการใช้โทรศัพท์มือถือ แนบหูครั้งละนาน ๆ จะทำให้เกิดผลกระทบต่อสุขภาพได้ โดยจากการวิจัยของแพทย์นักวิทยาศาสตร์หลายท่าน เตือนว่าผู้ที่ได้รับคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าอาจมีโอกาสเสี่ยงในการเกิดโรคได้หลายชนิด อาทิ ปวดศีรษะ มะเร็งสมอง หูอักเสบ มะเร็งเม็ดเลือดขาวและความจำเสื่อม ฯลฯ เป็นต้น

ดร.ดนัย ทิวาเวช กรรมการสมาคมพิษวิทยา และรองเลขาธิการของ สสวทท. กล่าวว่า ผลกระทบต่อสุขภาพของผู้ใช้โทรศัพท์มือถือมีโดยตรง ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว คือ ในระยะสั้น จะมีอาการปวดหู ปวดศีรษะ ตาพร่ามัว มึนงง ขาดสมาธิ และเกิดความเครียดนอนไม่หลับ สำหรับผลในระยะยาว อาจทำให้เกิดโรคความจำเสื่อม โรคมะเร็งสมอง มะเร็งเม็ดเลือดขาว เป็นต้น

ข้อแนะนำสำหรับประชาชนหรือผู้บริโภค เพื่อป้องกันมิให้เกิดอันตรายในอนาคต คือ 1 ) ควรใช้แต่ละครั้งให้น้อยลง 2) ควรใช้อุปกรณ์หูฟังทุกครั้งที่ใช้ เพราะจะทำให้ได้รับคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าน้อยลง 3) หลีกเลี่ยงการใช้ในเด็กอายุต่ำกว่า 10 ขวบ เพราะคลื่นแม่เล็กไฟฟ้าจะผ่านกะโหลกศีรษะของเด็กเข้าสู่เยื่อสมองได้ลึกกว่าของผู้ใหญ่ 4) หลีกเลี่ยงใช้ในที่มีสัญญาคลื่นโทรศัพท์จากสถานีส่งต่ำ เพราะผู้ใช้จะได้รับปริมาณคลื่นที่ส่งออกมาจากโทรศัพท์มือถือสูงกว่าปกติ 5) หลีกเลี่ยงการใช้ในขณะขับรถ เพราะทำให้ขาดสมาธิ จะทำให้เกิดอุบัติเหตุได้ 6) หลีกเลี่ยงการใช้ในขณะเติมน้ำมันรถยนต์ เพราะจะทำให้เกิดอุบัติเหตุไฟไหม้ได้ 7) ควรปิดมือถือก่อนเข้าไปในบริเวณที่มีการรับจ่ายน้ำมันและก๊าซ และการขนย้ายเชื้อเพลิงหรือสารเคมี

ทั้งนี้ หน่วยงานรัฐบาลที่รับผิดชอบ ควรจะมีการให้ข้อมูลข่าวสารทางวิชาการที่ถูกต้อง และทันเหตุการณ์กับประชาชน เพื่อสร้างความเข้าใจ ทำให้หมดความสงสัย และการตื่นตระหนก และสร้างจิตสำนึกด้านความปลอดภัยในการใช้โทรศัพท์มือถือ รวมทั้งมีมาตรการควบคุมอันตรายที่จะเกิดขึ้น ซึ่งจะทำให้การแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับอันตรายจากการใช้โทรศัพท์มือถือในประเทศไทยมีประสิทธิภาพและมีผลดีขึ้นในอนาคต

สารพิษรอบตัว
รศ.ดร.ประสิทธิ์ ทีฆพุฒิ ประธานสภามนตรี สสภาสมาคมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (สสวทท

การใช้PhotoShop


โปรแกรมตกแต่งภาพชื่อดัง Adobe PhotoShop 7.0 ซึ่งเป็นโปรแกรมรุ่นเดอะ เรียกได้ว่าคงไม่มีใคร ไม่รู้จัก ในเวลาที่ผ่านมา ทางค่ายอโดบี ได้มีการอัพเกรดเวอร์ชันใหม่ๆ มาโดยตลอด และมีการเพิ่มเครื่องไม้เครื่องมือใหม่เพื่อรองรับ ความต้องการของศิลปินดิจิตอลที่ไร้ขีดจำกัดทั้งหลาย เรามาเริ่มดูกันตั้งแต่เวอร์ชัน 4 ได้มีการ เพิ่มเครื่องมือ Layer และ Action ในเวอร์ชัน 5 มีการเพิ่มแถบ History Palette และ Layer Style พอมาถึงเวอร์ชัน 6 ก็ได้มีการเพิ่มเครื่องมือวาดรูปต่างๆ ลงไป และในปัจจุบันทางค่ายอโดบี เพิ่งจะประกาศตัวเวอร์ชันใหม่คือ Photoshop CS (ทั้งสำหรับเครื่อง Mac และ Windows แต่ประกาศเวอร์ชันสำหรับ Mac มาก่อนครับ ในส่วนของความสามารถ ทั้ง Mac และ Windows จะเหมือนกัน ) ซึ่งมีเครื่องมือต่างๆ เพิ่มขึ้นอีกพอสมควร ดังที่จะกล่าวต่อไปนี้ครับ

ความสามารถใหม่ของ Photoshop 7.0 มีเพิ่มขึ้นหลายๆ อย่างทีเดียว แต่ถ้าดูภาพรวมยังไม่อาจจะเรียกได้ว่า การอัพเกรดครั้งใหญ่อะไร เพราะเครื่องมือที่เพิ่มขึ้นหลายๆ ตัว เราอาจจะเห็นหรือเคยใช้จากโปรแกรมตกแต่งภาพอื่นๆ แล้ว เช่น การ สร้างลาย Pattern , เครื่องมือ Brush ที่วาดรูปภาพเป็นจุดๆ หรือใส่ลวดลายต่างๆ ได้ เหมือนในโปรแกรม Painter หรือ Paint Shop Pro แต่ก็ไม่ใช่ว่าในเวอร์ชันนี้จะไม่มีทีเด็ดนะครับ มีแน่นอน! เพื่อไม่ให้เสียชื่อสุดยอด โปรแกรมตกแต่งภาพ ทีเด็ดที่เพิ่มมาก็คือเครื่องมือ Healing Brush Tool และเครื่องมือ Patch Tool จะเป็นเครื่องมือสำหรับทำอะไร และเด็ดแค่ไหน จะกล่าวในต่อไปนะครับ

Healing Brush Tool / Patch Tool

เครื่องมือ Healing Brush Tool ซึ่งถ้าแปลตรงๆ ก็คือ แปรงสำหรับแก้ไขรูปภาพ ความสามารถของเครื่องมือตัวนี้ก็คือช่วยทำความสะอาดรูปภาพ ช่วยลบรอยสกปรก รอยผง หรือ เม็ดสกรีนต่างๆ ที่พบในรูปทั่วไป โดยหลักการของเครื่องมือตัวนี้ก็คือการลอกลายรูปภาพใกล้เคียงโดยที่โปรแกรม จะทำการปรับค่าแสง และลวดลายให้อัตโนมัติ

เครื่องมือ Patch Tool เป็นเครื่องมือเลือกบริเวณภาพ " Selection " โดยหลักการเครื่องมือตัวนี้จะช่วยให้เราเลือกบริเวณรูปภาพที่มีปัญหาได้ง่ายยิ่งขึ้น โปรแกรมจะปรับค่าแสง และ สี บริเวณที่เลือกให้อัตโนมัติด้วย

จากการทดลองใช้งานพบว่าเครื่องมือ Healing Brush Tool / Patch Tool ช่วยให้เราลบรอย หรือ ลายภาพที่ไม่ต้องการได้อย่างง่ายๆ และรวดเร็วมากครับ จากภาพตัวอย่างจะเป็นการลบรอยเหี่ยวย่น ด้วยการคลิกเมาส์ไม่กี่ครั้งก็สำเร็จ ช่างยอดเยี่ยมจริงๆ เพราะเดิมที่เวลาเราจะลบรอยภาพต่างๆ ต้องมานั่งลอก Selection ตำแหน่งที่

นิยามเกี่ยวกับเทคโนโลยีสารสนเทศ


นิยามเกี่ยวกับเทคโนโลยีสารสนเทศ

คำว่าเทคโนโลยี หมายถึง การประยุกต์เอาความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์มาใช้ให้เกิดประโยชน์ การศึกษาพัฒนาองค์ความรู้ต่าง ๆ ก็เพื่อให้เข้าใจธรรมชาติ กฎเกณฑ์ของสิ่งต่าง ๆ และหาทางนำมาประยุกต์ให้เกิดประโยชน์ เทคโนโลยีจึงเป็นค้าที่มีความหมายกว้างไกล เป็นคำที่เราได้พบเห็นและได้ยินอยู่ตลอดมา
ลองนึกดูว่าทรายที่เราเห็นอยู่บนพื้นดิน ตามชายหาด ชายทะเลเป็นสารประกอบของซิลิกอน ทรายเหล่านั้นมีราคาต่ำและเรามองข้ามไป ครั้งมีบางคนที่เรียนรู้วิธีการแยกสกัดเอาสารซิลิกอนให้บริสุทธิ์ และเจือสารบางอย่างให้เกิดเป็นสิ่งที่เรียกว่าสารกึ่งตัวนำ นำมาผลิตเป็นทรานซิสเตอร์ และไอซี (Integrated Circuit : IC) ไอซีนี้เป็นอุปกรณ์ที่รวมวงจรอิเล็กทรอนิกส์จำนวนมากไว้ด้วยกัน ใช้เป็นชิพซึ่งเป็นส่วนสำคัญของคอมพิวเตอร์ สารซิลิกอนดังกล่าวเมื่อผ่านกรรมวิธีทางเทคโนโลยีแล้วจะมีราคาสูงสามารถนำมาขายได้เงินเป็นจำนวนมาก ดังนั้นเทคโนโลยีจึงเป็นหัวใจของการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้า และผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ เพราะเรานำเอาวัตถุดิบมาผ่านเทคนิคการดำเนินการ จะได้วัตถุสำเร็จรูป สินค้าเหล่านี้จะมีมูลค่าเพิ่มจากวัตถุดิบนั้นมาก ประเทศใดมีเทคโนโลยีมากมักจะเป็นประเทศที่พัฒนาแล้ว เทคโนโลยีจึงเป็นหาทางที่จะช่วยในการพัฒนาให้สินค้าและบริการมีมูลค่าเพิ่มขึ้น ทุกประเทศจึงให้ความสำคัญของการใช้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเข้ามาช่วยงานด้านต่าง ๆ
ส่วนคำว่าสารสนเทศ หมายถึงข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อการดำเนินชีวิตของมนุษย์ มนุษย์แต่ละคนตั้งแต่เกิดมาได้เรียนรู้สิ่งต่าง ๆ เป็นจำนวนมาก เรียนรู้สภาพสังคมความเป็นอยู่ กฎเกณฑ์และวิชาการ ลองจินตนาการดูว่าภายในสมองของเราเก็บข้อมูลอะไรบ้าง เราคงตอบไม่ได้ แต่สามารถเรียกเอาข้อมูลมาใช้ได้ ข้อมูลที่เก็บไว้ในสมองเป็นสิ่งที่สะสมกันมาเป็นเวลานาน ความรอบรู้ของแต่ละคนจึงขึ้นอยู่กับการเรียกใช้ข้อมูลนั้น ดังนั้นจะเห็นได้ชัดความรู้เกิดจากข้อมูลข่าวสารต่าง ๆ ทุกวันนี้มีข้อมูลรอบตัวเรามาก ข้อมูลเหล่านี้มาจากสื่อ เช่น วิทยุ โทรทัศน์ หนังสือพิมพ์ เครือข่ายคอมพิวเตอร์ หรือแม้แต่การสื่อสารระหว่างบุคคล จึงมีผู้กล่าวว่ายุคนี้เป็นยุคของสารสนเทศ

เทคโนโลยีสารสนเทศ


ความก้าวหน้าทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ทำให้มีการพัฒนาคิดค้นสิ่งอำนวยความสะดวกสบายต่อการดำชีวิตเป็นอันมาก เทคโนโลยีได้เข้ามาเสริมปัจจัยพื้นฐานการดำรงชีวิตได้เป็นอย่างดี เทคโนโลยีทำให้การสร้างที่พักอาศัยมีคุณภาพมาตรฐาน สามารถผลิตสินค้าและให้บริการต่าง ๆ เพื่อตอบสนองความต้องการของมนุษย์มากขึ้น เทคโนโลยีทำให้ระบบการผลิตสามารถผลิตสินค้าได้เป็นจำนวนมากมีราคาถูกลง สินค้าได้คุณภาพ เทคโนโลยีทำให้มีการติดต่อสื่อสารกันได้สะดวก การเดินทางเชื่อมโยงถึงกันทำให้ประชากรในโลกติดต่อรับฟังข่าวสารกันได้ตลอดเวลา
พัฒนาการของเทคโนโลยีทำให้ชีวิตความเป็นอยู่เปลี่ยนไปมาก ลองย้อนไปในอดีตโลกมีกำเนินมาประมาณ 4600 ล้านปี เชื่อกันว่าพัฒนาการตามธรรมชาติทำให้เกิดสิ่งมีชีวิตถือกำเนินบนโลกประมาณ 500 ล้านปีที่แล้ว ยุคไดโนเสาร์มีอายุอยู่ในช่วง 200 ล้านปี สิ่งมีชีวิตที่เป็นเผ่าพันธุ์มนุษย์ ค่อย ๆ พัฒนามา คาดคะเนว่าเมื่อห้าแสนปีที่แล้วมนุษย์สามารถส่งสัญญาณท่าทางสื่อสารระหว่างกันและพัฒนามาเป็นภาษา มนุษย์สามารถสร้างตัวหนังสือ และจารึกไว้ตามผนึกถ้ำ เมื่อประมาณ 5000 ปีที่แล้ว กล่าวได้ว่ามนุษย์ต้องใช้เวลานานพอสมควรในการพัฒนาตัวหนังสือที่ใช้แทนภาษาพูด และจากหลักฐานทางประวัติศาสตร์พบว่า มนุษย์สามารถจัดพิมพ์หนังสือได้เมื่อประมาณ 5000 ปีที่แล้ว กล่าวได้ว่าฐานทางประวัติศาสตร์พบว่า มนุษย์สามารถจัดพิมพ์หนังสือได้เมื่อประมาณ 500 ถึง 800 ปีที่แล้ว เทคโนโลยีเริ่มเข้ามาช่วยในการพิมพ์ ทำให้การสื่อสารด้วยข้อความและภาษาเพิ่มขึ้นมาก เทคโนโลยีพัฒนามาจนถึงการสื่อสารกัน โดยส่งข้อความเป็นเสียงทางสายโทรศัพท์ได้ประมาณร้อยกว่าปีที่แล้ว และเมื่อประมาณห้าสิบปีที่แล้ว ก็มีการส่งภาพโทรทัศน์และคอมพิวเตอร์ทำให้มีการใช้สารสนเทศในรูปแบบข่าวสารมากขึ้น ในปัจจุบันมีสถานที่วิทยุ โทรทัศน์ หนังสือพิมพ์ แ ละสื่อต่าง ๆ ที่ใช้ในการกระจ่ายข่าวสาร มีการแพร่ภาพทางโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมเพื่อรายงานเหตุการณ์สด เห็นได้ชัดว่าเทคโนโลยีได้เข้ามามีบทบาทอย่างมาก บทบาทของการพัฒนาเทคโนโลยีรวดเร็วขึ้นเมื่อมีการพัฒนาอุปกรณ์ทางด้านคอมพิวเตอร์และส่วนประกอบ จะเห็นได้ว่าในช่วงสี่ห้าปีที่ผ่านมาจะมีผลิตภัณฑ์ใหม่ ซึ่งมีคอมพิวเตอร์เข้าไปเกี่ยวข้องให้เห็นอยู่ตลอดเวลา

ความก้าวหน้าทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

ความก้าวหน้าทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ทำให้มีการพัฒนาคิดค้นสิ่งอำนวยความสะดวกสบายต่อการดำชีวิตเป็นอันมาก เทคโนโลยีได้เข้ามาเสริมปัจจัยพื้นฐานการดำรงชีวิตได้เป็นอย่างดี เทคโนโลยีทำให้การสร้างที่พักอาศัยมีคุณภาพมาตรฐาน สามารถผลิตสินค้าและให้บริการต่าง ๆ เพื่อตอบสนองความต้องการของมนุษย์มากขึ้น เทคโนโลยีทำให้ระบบการผลิตสามารถผลิตสินค้าได้เป็นจำนวนมากมีราคาถูกลง สินค้าได้คุณภาพ เทคโนโลยีทำให้มีการติดต่อสื่อสารกันได้สะดวก การเดินทางเชื่อมโยงถึงกันทำให้ประชากรในโลกติดต่อรับฟังข่าวสารกันได้ตลอดเวลา
พัฒนาการของเทคโนโลยีทำให้ชีวิตความเป็นอยู่เปลี่ยนไปมาก ลองย้อนไปในอดีตโลกมีกำเนินมาประมาณ 4600 ล้านปี เชื่อกันว่าพัฒนาการตามธรรมชาติทำให้เกิดสิ่งมีชีวิตถือกำเนินบนโลกประมาณ 500 ล้านปีที่แล้ว ยุคไดโนเสาร์มีอายุอยู่ในช่วง 200 ล้านปี สิ่งมีชีวิตที่เป็นเผ่าพันธุ์มนุษย์ ค่อย ๆ พัฒนามา คาดคะเนว่าเมื่อห้าแสนปีที่แล้วมนุษย์สามารถส่งสัญญาณท่าทางสื่อสารระหว่างกันและพัฒนามาเป็นภาษา มนุษย์สามารถสร้างตัวหนังสือ และจารึกไว้ตามผนึกถ้ำ เมื่อประมาณ 5000 ปีที่แล้ว กล่าวได้ว่ามนุษย์ต้องใช้เวลานานพอสมควรในการพัฒนาตัวหนังสือที่ใช้แทนภาษาพูด และจากหลักฐานทางประวัติศาสตร์พบว่า มนุษย์สามารถจัดพิมพ์หนังสือได้เมื่อประมาณ 5000 ปีที่แล้ว กล่าวได้ว่าฐานทางประวัติศาสตร์พบว่า มนุษย์สามารถจัดพิมพ์หนังสือได้เมื่อประมาณ 500 ถึง 800 ปีที่แล้ว เทคโนโลยีเริ่มเข้ามาช่วยในการพิมพ์ ทำให้การสื่อสารด้วยข้อความและภาษาเพิ่มขึ้นมาก เทคโนโลยีพัฒนามาจนถึงการสื่อสารกัน โดยส่งข้อความเป็นเสียงทางสายโทรศัพท์ได้ประมาณร้อยกว่าปีที่แล้ว และเมื่อประมาณห้าสิบปีที่แล้ว ก็มีการส่งภาพโทรทัศน์และคอมพิวเตอร์ทำให้มีการใช้สารสนเทศในรูปแบบข่าวสารมากขึ้น ในปัจจุบันมีสถานที่วิทยุ โทรทัศน์ หนังสือพิมพ์ แ ละสื่อต่าง ๆ ที่ใช้ในการกระจ่ายข่าวสาร มีการแพร่ภาพทางโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมเพื่อรายงานเหตุการณ์สด เห็นได้ชัดว่าเทคโนโลยีได้เข้ามามีบทบาทอย่างมาก บทบาทของการพัฒนาเทคโนโลยีรวดเร็วขึ้นเมื่อมีการพัฒนาอุปกรณ์ทางด้านคอมพิวเตอร์และส่วนประกอบ จะเห็นได้ว่าในช่วงสี่ห้าปีที่ผ่านมาจะมีผลิตภัณฑ์ใหม่ ซึ่งมีคอมพิวเตอร์เข้าไปเกี่ยวข้องให้เห็นอยู่ตลอดเวลา

ขนมถ้วยฟู


ส่วนผสม วิธีทำ
1.ข้าวสาร 1 ลิตร ซาวให้สะอาดแช่น้ำไว้
5 ชั่วโมง เอาไปทับโม่ให้ละเอียดใส่ถุงผ้า ผูกปากให้แน่นใช้ของหนัก ๆ ทับให้น้ำแห้ง หรือใช้แป้งสำเร็จรูปที่มีขายอยู่แล้วก็ได้
2. น้ำตาลทราย 1/2 ก.ก.
3. น้ำดอกไม้สด 3 ถ้วย
4. ผงฟู 1/2 ช้อนชา
5. สีผสมอาหาร
1.เอาแป้งใส่ภาชนะ ผสมด้วยน้ำตาลทรายและน้ำดอกไม้สด ผงฟู
สีทำขนม ผสมให้เข้ากัน
2.หมักทิ้งไว้ พอเห็นว่าแป้งขึ้นจึงจะใช้ได้เสร็จแล้วจึงจะเอาไปใส่
ถ้วยตะไลเล็ก ๆ ใส่พอค่อนถ้วย แล้วเอาไปนึ่งให้สุก เสร็จแล้ว
แคะออก ใส่ภาชนะที่มีฝา แล้วอบด้วยดอกมะลิสด

ขนมทองหยิบ


ส่วนผสม วิธีทำ
1. ไข่เป็ด 30 ฟอง
2. น้ำเชื่อม
ใช้น้ำตาลทราย 1 1/12 กิโลกรัม
3. น้ำลอยดอกมะลิ 5 ถ้วยตวง
1. ผสมน้ำตาลทรายกับน้ำลอยดอกมะลิตั้งไฟเคี่ยวให้ข้ม ยกลงกรอง
2. ดอกไข่ แยกไข่แดงไข่ขาว นำไข่แดงใส่ผ้าขาวบาง
รีดเยื่อไข่ออกใส่อ่างผสม ตีให้ขึ้นประมาณ 8 นาที
3. กระทะทองแดง ใส่น้ำเชื่อมตั้งไฟให้เดือด ข้น
ปิดไฟให้น้ำเชื่อมนิ่งหรือยกลงจากเตา
4. ใช้ช้อนตักไข่ที่ตีขึ้นแล้ว หยอดในน้ำเชื่อมที่นิ่ง ให้เป็นแผ่นกลม ๆ
ขนาด 1 1/2 นิ้ว ให้เต็มกระทะ อย่าให้ติดกัน ยกขึ้นบนเตา 5. เปิดไฟให้น้ำเชื่อมเดือดพอไข่ฟู ตักขึ้นใส่ถาดวางไว้
พอขนมคลายความร้อนลงหยิบจีบให้สวย นิยมหยิบ 5 ,6,7 หยิบ
ตามความต้องการ

ขนมครก


ส่วนผสม วิธีทำ
เครื่องปรุงตัวแป้ง
1.แป้งข้าวเจ้า (แห้ง) 1 ถ้วยตวง
2.น้ำ 2 ถ้วยตวง
3. ข้าวสุก 1/3 ถ้วยตวง
4. มะพร้าวทึนทึกขูดขาว
1/2 ถ้วยตวง
5. เกลือป่น 1/2 ช้อนชา
6.น้ำร้อน 1/2 ช้อนโต๊ะ

เครื่องปรุง หน้ากะทิ
1.หัวกะทิ 1 ถ้วยตวง
2. น้ำตาลทราย 1/2 ถ้วยตวง
3. เกลือป่น 1 1/2 ช้อนชา

เครื่องใช้เฉพาะ
เตาขนมครก ลูกประคบ (กากมะพร้าวห่อ ด้วยผ้า ขาว โดยใช้ผ้าสี่เหลี่ยมจัตุรัส ขนาด 6x6 นิ้ว )


1.ใส่กากมะพร้าวตรงกลางรวบ ชายผ้าเข้า มาทุกด้าน
2. ผูกเชือกให้กาก มะพร้าวรวมตัว เป็นก้อนกลมแผ่น ทิ้งชายไว้สำหรับ
จับช้อน สำหรับแคะขนมครก น้ำมัน สำหรับทาเบ้าขนมครก
3. ตวงแป้ง 1 ถ้วยตวงใส่ชามผสม เติมน้ำ 1 ถ้วยตวง คนให้เข้ากัน แล้ว
แช่ไว้ 12 ชั่วโมง หรือค้างคืน
4. บดข้าวสุก 1/3 ถ้วยตวง มะพร้าวขูด ถ้วยตวง พร้อมน้ำอีก
1 ถ้วยตวง
5. ใส่เบลนเดอร์จนละเอียดดี หรือโม่ด้วยโม่หินก็ได้
6. เทมะพร้าวและข้าวสุกที่บดแล้วลงในชามแป้งที่แช่ไว้ เติมเกลือป่น
คนให้เข้ากันดี ใช้เป็นตัวแป้งขนมครก
7. ผสมกะทิ น้ำตาล และเกลือด้วยกัน คนให้น้ำตาลละลายตั้งเตาขนมครก
บนไฟอ่อน ๆ ให้ร้อนจัด จึงใช้ลูกประคบ แตะน้ำมันพืชเช็ดเบ้า
ขนมครกทุกเบ้าให้ชุ่มน้ำมัน ตักแป้งหยอดลงในเบ้าประมาณค่อนเบ้า
รอสักครู่จึงหยอดหน้ากะทิลงประมาณ 1/2 ช้อนโต๊ะ ปิดฝารอจน
ขอบแป้งเกรียมเหลือง จึงใช้ช้อนแซะขึ้นใส่ถาด

ขนมครองแครง


ตัวแป้ง
1. แป้งข้าวจ้าว1/2ถ้วยตวง
2. แป้งท้าวยายม่อม1/4ถ้วยตวง
3. น้ำกะทิ1/2ถ้วยตวง


เครื่องปรุงกะทิ
1. หัวกะทิ1/2ถ้วยตวง
2. น้ำตาลทรายขาว1/2ถ้วยตวง
3 .เกลือป่น2ช้อนชา
4. งาขาวคั่วโรยหน้าขนม1/4 ถ้วยตวง
5. น้ำตาลทราย โรยหน้าขนม 1/4 ถ้วย

เครื่องมือเฉพาะ
พิมพ์ไม้สำหรับกดแป้งให้เป็นตัว ครองแครง แป้งมันสำหรับทำนวล
1. ละลายแป้งทั้ง 2 ชนิดกับน้ำกะทิให้เข้ากัน กวนใน กระทะทองพอแห้ง 2. ปั้นแป้งเป็นก้อนกลมขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 1 ซม. เวลา ปั้นใช้มือแตะแป้งมันเพื่อไม่ให้แป้งติดมือ
3. กดแป้งลงบน พิมพ์ครองแครงด้วยหัวแม่มือ
แล้วม้วนแป้ง แป้งจะหลุด จากพิมพ์เป็นรูปตัวหอย
วางในถาดปูผ้าขาวบางทำจนหมด
4. นำตัวหอยไปนึ่งจนสุก ใช้เวลาประมาณ 15 นาที
วิธีทำน้ำกะทิ ผสมน้ำกะทิ น้ำตาล และเกลือ
คนให้เข้ากันแล้วกรอง
5.นำไปตั้งไฟอ่อน ๆ จนเดือดเมื่อน้ำกะทิเดือดใส่ตัวหอย
ที่นึ่งสุกแล้วลงไป ยกลง ตักขนมใส่ถ้วยเสิร์ฟ
โรยหน้าด้วยงาคั่วและน้ำตาลทราย

วันอาทิตย์ที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2553

ขนมฝอยทอง


ส่วนผสม วิธีทำ
1. ไข่เป็ด 20 ฟอง
2. ไข่ไก่ 10 ฟอง
3.น้ำค้างไข่ 3 ช้อนโต๊ะ
4. น้ำเชื่อม ใช้น้ำตาลทราย 1 1/2 ก.ก.
5. น้ำลอยดอกมะลิ 6 ถ้วยตวง
1. นำน้ำตาลทราย น้ำ ตั้งไฟพอเดือดน้ำตาลละลาย ยกลงกรองด้วยผ้าขาวบาง ตั้งไฟเคี่ยวต่อให้น้ำเชื่อมมีลักษณะไม่ข้น หรือใสเกินไป
2. ตอกไข่ แยกไข่ขาวออกใช้แต่ไข่แดง และเก็บน้ำไข่ขาวที่ใสไม่เป็นลิ่มเรียกว่า น้ำค้างไข่ เก็บไว้ต่างหาก นำไข่แดงใส่ผ้าขาวบาง รีดเยื้อไข่ออก ผสมไข่แดงกับน้ำค้างไข่ตามส่วน คนให้เข้ากัน
3. กระทะทองใส่น้ำเชื่อมเดือด ๆ เตรียมไว้ทำกรวยด้วยใบตอง หรือใช้กรวยโลหะใส่ไข่แดงโรยในน้ำเชื่อมเดือด ๆ ไปรอบ ๆ ประมาณ
20-30 รอบ เส้นไข่สุกใช้ไม้แหลมสอยขึ้นจากน้ำเชื่อม พับเป็นแพ อบด้วยควันเทียนหลังจากเย็นแล้ว

การสร้างเว็บไซต์


ในปัจจุบันเว็บไซต์ส่วนใหญ่จะไม่ทำเว็บด้วยการเขียนเว็บเพจทีละหน้าเองแล้ว แต่จะอาศัย CMS (Content Management System) เช่น Wordpress, Joomla! ซึ่งเป็นระบบการจัดการเนื้อหาของเว็บไซต์อย่างอัตโนมัติ โดยที่ไม่ต้องมีความรู้ด้านการเขียนโปรแกรม
ถ้าผู้อ่านสนใจจะทำ Blog อย่าง enjoyday.net สามารถศึกษาได้จากหัวข้อ การสร้าง Blog ด้วย Wordpress หรือสนใจอยากทำเว็บไซต์ด้วย CMS ลองศึกษาจากหัวข้อ การสร้างเว็บไซต์ด้วย Joomla! ค่ะ
สำหรับผู้ที่ศึกษาเรื่องการทำ Adsense, Adwords, Affiliate, SEO หรือเรื่องอื่นๆ อยู่ แล้วเจอคำศัพท์ที่ไม่เข้าใจลองเข้าไปดูได้ที่นี่่ จะพยายามรวบรวมเพิ่มเติมให้ได้มากที่สุดค่ะ Glossary - อภิธานศัพท์


นอกจากนี้ยังมีเรื่องราวต่างๆ ที่น่าสนใจในแวดวงคอมพิวเตอร์และอินเตอร์เน็ต อ่านได้จาก Categories ที่วางอยู่ด้านขวามือ หรือคลิกที่นี่ อ่านบทความทั้งหมด
หวังว่า Blog นี้จะเป็นประโยชน์ต่อผู้สนใจทำเว็บไซต์ทั้งหลายนะคะ ^^


บทความล่าสุด
รวมเว็บไซต์ที่ให้บริการเครื่องมือสำหรับทำ SEO (SEO Tools)
joy / 30 April, 2010 ในการทำ SEO ให้เว็บไซต์ของเรา เช่น การโปรโมทเว็บไซต์ตามเว็บ social bookmark, การแลกลิงค์กับเว็บอื่นๆ, การปรับปรุงใส่คีย์เวิร์ดในส่วนต่างๆ ของเว็บ ฯลฯ หลังจากที่เราได้ทำ SEO ไปแล้ว ก็จะต้องติดตามผลด้วย ว่าที่ทำไปนั้น work ได้ผลมากน้อยแค่ไหน ...

1 Comment , Posted in 5. การโปรโมทเว็บไซต์ , Read 561 Views Plugin Wordpress เรียงลำดับ Category แบบตามใจฉัน
admin / 27 April, 2010 ใน blog ของเราตามปกติก็จะมีการแบ่งประเภท หรือหมวดหมู่ (Category) ของบทความเรื่องต่างๆ เอาไว้เพื่อความสะดวกในการค้นหา หรือให้ผู้ชมเว็บไซต์เลือกอ่านเรื่องที่สนใจได้ง่าย ซึ่ง blog ส่วนใหญ่ก็จะแสดงหมวดหมู่เป็นเมนูไว้ที่ด้านข้าง...

1 Comment , Posted in การสร้าง Blog ด้วย Wordpress , Read 602 Views

วันศุกร์ที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2553

การใช้คอมพิวเตอร์เบื้องต้น


การใช้คอมพิวเตอร์เบื้องต้น

(Microsoft Windows)

เนื้อหาจะเป็นการแนะนำ การใช้คอมพิวเตอร์เบื้องต้น ต่าง ๆ ที่จำเป็น ตั้งแต่การเปิดเครื่องคอมพิวเตอร์ การจับเม้าส์ การกดปุ่มบนเม้าส์ ตลอดจนการเปิดโปรแกรมต่าง ๆ ขึ้นมา การปิดโปรแกรมต่าง ๆ เมื่อไม่ใช้งาน การแก้ไขเครื่องในกรณีเครื่องเกิดอาการ Hang การปิดเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ถูกต้อง

การเปิดเครื่องคอมพิวเตอร์
1. ตรวจสอบปลั๊กเสียก่อนว่า เสียบเรียบร้อยดีหรือไม่

2. ที่จอภาพ กดสวิทซ์ เพื่อเปิดจอภาพ

3. ที่ CPU. ด้านหน้า จะมีสวิทซ์ เพื่อเปิดเครื่อง (กดเบา ๆ )

4. เมื่อเปิดเครื่องแล้ว รอสักครู่ ที่จอภาพจะมีข้อความเพื่อตรวจสอบระบบต่าง ๆ

5. จากนั้น จะมีเสียง 1 ครั้ง

6. ที่หน้าจอภาพจะขึ้นคำว่า Windows เป็นการเริ่มต้นการใช้เครื่อง เพราะเครื่องจะต้องเรียกโปรแกรมควบคุมเครื่องที่ชื่อว่า Windows เสียก่อน (จะใช้เวลาประมาณ 3 นาที)

7. จากนั้นหน้าจอภาพจะมีโปรแกรมต่าง ๆ อยู่ด้านซ้าย และด้านล่างจะมีแถบ Task Bar ให้เราทำงานได้

การเลิกใช้เครื่องคอมพิวเตอร์
1. คลิ๊กที่ปุ่ม Start

2. เลื่อนมาคลิ๊กที่คำสั่ง Shut Down

3. คลิ๊กปุ่ม Ok

4. รอสักครู่เครื่องจะเริ่มทำการปิดระบบต่าง ๆ ของคอมพิวเตอร์

5. จากนั้นเครื่องจะดับเอง

6. ยกเว้น จอภาพ ให้กดสวิทซ์ ปิดจอด้วย

ส่วนประกอบของหน้าจอภาพเมื่อเข้าสู่วินโดวส์เรียบร้อยแล้ว
1. ส่วนที่เป็นภาพฉากหลัง เราเรียกว่า ส่วนพื้นจอภาพ (Desk Top)

2. ด้านซ้ายของจอภาพ ส่วนที่เป็นรูปภาพ และมีคำบอกว่าเป็นโปรแกรมอะไร เรียกว่า (Icon) ลักษณะจะเป็นโปรแกรมต่าง ๆ ที่วินโดวส์ จะนำมาไว้ที่จอภาพ ส่วนใหญ่จะเป็นโปรแกรมที่ถูกเรียกใช้บ่อย ๆ

3. ด้านล่างของจอภาพที่เป็นแถบสีเทา เราเรียกว่า (Task Bar) เป็นส่วนบอกสถานะต่าง ๆ โดยที่ด้านขวาของ ทาสบาร์ จะบอกเวลาปัจจุบัน สถานะของแป้นพิมพ์ว่า ภาษาไทย หรือ อังกฤษ โปรแกรมที่ถูกฝังตัวอยู่ ส่วนแถบตรงกลางจะใช้บอกว่า ขณะนี้เราเปิดโปรแกรมอะไรใช้งานอยู่บ้าง ด้านซ้ายของจอภาพ จะมีปุ่ม Start ใช้ในการเริ่มเข้าสู่โปรแกรมต่าง ๆ

การกดปุ่มบนเม้าส์ (Mouse) เม้าส์ในปัจจุบันจะมี 2 ปุ่ม ซ้าย และขวา ส่วนถ้าเป็นแบบล่าสุด จะมีปุ่มคล้าย ๆ ล้ออยู่ตรงกลางเพื่อใช้ในการเลื่อน ขึ้น และ ลง บนหน้าจอภาพ (Scroll Bar) ในการกดปุ่มบนเม้าส์นั้น จะมีวิธีกดปุ่มบนเม้าส์อยู่ทั้งหมด 4 วิธีคือ

1. คลิ๊ก (Click) คือการใช้นิ้วชี้กดปุ่ม ซ้าย ของเม้าส์ 1 ครั้ง ใช้ในการเลือกสิ่งต่าง ๆ บนจอภาพ

2. ดับเบิ้ลคลิ๊ก (Double Click) คือการใช้นิ้วชี้กดปุ่ม ซ้าย ของเม้าส์ 2 ครั้ง ติดกันอย่างเร็ว ใช้ในการเปิดโปรแกรมที่อยู่ด้านซ้ายของจอภาพ

3. แดร๊ก (Drag) คือการกดปุ่ม ซ้าย ของเม้าส์ ค้างไว้ แล้วลากเม้าส์ ใช้ในการย้ายสิ่งต่าง ๆ

4. คลิ๊กขวา (Right – Click) คือการใช้นิ้วกลาง กดปุ่ม ขวา ของเม้าส์ 1 ครั้ง ใช้ในการเข้าเมนูลัดของโปรแกรม (Context Menu)

การเปิดโปรแกรมขึ้นมาใช้งาน เช่น ต้องการเปิดโปรแกรมเครื่องคิดเลข (Calculator)

1. คลิ๊กที่ปุ่ม Start ตรงแถบทาสบาร์ด้านล่างซ้ายมือ

2. เลื่อนเม้าส์เพื่อให้ลูกศรที่จอภาพ ชี้ที่คำว่า Program ตรงนี้ชี้ไว้เฉย ๆ ครับ ไม่ต้องคลิ๊กเม้าส์

3. เลื่อนเม้าส์ไปทางขวา ในแนวนอนก่อน แล้วเลื่อนขึ้นไปที่คำว่า Accessories ไม่ต้องคลิ๊กเม้าส์

4. เลื่อนเม้าส์ไปทางขวา ในแนวนอนอีก แล้วเลื่อนลงมาที่คำว่า Calculator

5. จากนั้นจับเม้าส์ให้ นิ่ง ๆ คลิ๊กเม้าส์ 1 ที (คือการกดปุ่ม ซ้าย ของเม้าส์ 1 ครั้ง)

6. กรอบต่าง ๆ จะหายไป แล้วเครื่องจะเปิดหน้าต่าง เครื่องคิดเลขขึ้นมา ถือว่าเสร็จขึ้นตอนการเปิดโปรแกรมเครื่องคิดเลข ขึ้นมาใช้งาน ครับ

การปิดโปรแกรม เครื่องคิดเลข
1. ที่หน้าต่างเครื่องคิดเลข (Calculator) ตรงด้านบน ขวา มือจะมีปุ่มอยู่ 3 ปุ่ม

2. ให้เลื่อนเม้าส์ ไปที่ปุ่มที่ 3 ทางขวามือ (ปุ่มจะเป็นรูป กากบาท X ) เมื่อเลื่อนเม้าส์ไปวางจะมีคำว่า Close

3. คลิ๊ก 1 ครั้ง เครื่องก็จะปิดหน้าต่างโปรแกรมเครื่องคิดเลขไป

การขยายหน้าต่างของโปรแกรมให้เต็มจอภาพ (Maximize)

1. ที่หน้าต่าง ด้านบน ขวามือ ให้คลิ๊ก ปุ่มที่สอง เครื่องจะมีข้อความขึ้นมาว่า Maximize (แต่ถ้าหน้าต่าง ถูกขยายขึ้นมาอยู่แล้ว คำจะเปลี่ยนเป็น Restore ถ้าคลิ๊กลงไปจะกลายเป็นหน้าต่าง ขนาดปกติครับ)

2. จากนั้นเครื่องจะขยายหน้าต่างให้เต็มจอ ส่วนใหญ่เราจะขยายหน้าต่างให้เต็มจอเพื่อให้เห็นรายละเอียดในหน้าต่างมากขึ้นครับ

การลดขนาดหน้าต่างเป็น Icon ลงใน ทาสบาร์ หรือ การซ่อนหน้าต่าง (Minimize)

1. ที่หน้าต่าง ด้านบน ขวามือ ให้คลิ๊กปุ่มที่เป็นขีด ลบ ถ้าเลื่อนเม้าส์ไปวางจะขึ้นคำว่า Minimize

2. คลิ๊กลงไป 1 ครั้ง เครื่องก็จะซ่อนหน้าต่าง ลงไปไว้ด้านล่างตรงทาสบาร์

3. ที่ทาสบาร์จะมีคำเป็นลักษณะปุ่มเขียนว่า ซ่อนโปรแกรมอะไรไว้

4. แต่ ถ้าอยากเรียกขึ้นมาใช้งานตามเดิม ให้คลิ๊กที่ปุ่มด้านล่างที่ทาสบาร์ที่เราซ่อนเอาไว้ เครื่องก็จะเปิดหน้าต่างโปรแกรมที่เราซ่อนเอาไว้ ขึ้นมาใช้งานได้ตามเดิม